จากการที่ได้เข้าเรียนวิชากฎหมายสิทธิมนุษยชนเป็นครั้งแรก เดิมไม่มีเป้าหมายอย่างชัดเจนในการศึกษาแต่เมื่อได้เข้าเรียน ก็เริ่มมีเป้าหมายของการศึกษาวิชาสิทธิมนุษยชนมากขึ้น คือเพื่อให้เราสามารถปกป้องสิทธิตนเองได้ เนื่องจากสิทธิมนุษยชนดังกล่าวเป็นสิทธิของเราเองที่มีตั้งแต่เกิดโดยที่รัฐไม่ต้องก่อตั้งขึ้น ซึ่งหากเราไม่ศึกษาก็จะไม่ทราบว่าตัวเองมีสิทธิติดตัวอย่างไรบ้างก็จะทำให้ถูกเอาเปรียบและละเมิดสิทธิได้ ไม่เฉพาะแค่ละเมิดโดยรัฐเช่น กรณีที่อาจารย์ได้ยกตัวอย่างในห้องเรียนคือ เด็กพม่าที่มีสองสัญชาติแต่นายอำเภอกลับไม่รับรองสัญชาติไทยให้จนกลายเป็นคนไร้สัญชาติ ทั้งที่สิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิของเราโดยแท้ แม้กระทั่งสิทธิเล็กๆน้อยๆ ที่อาจถูกละเมิดโดยประชาชนด้วยกัน
ต่อมาคือเพื่อให้รู้จักองค์กรที่ดูแลเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิมากขึ้น เช่น การที่อาจารย์ยกตัวอย่าง คณะกรรมาธการระหว่างรัฐบาลอาเซียนวาด้วยสทธิมนษยชนย์ (ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights - AICHR) ซึ่งเป็นองค์กรของอาเซียน แต่เราไม่เคยรู้จักเลยว่าองค์กรดังกล่าวมีขึ้นเพื่อจุดประสงค์อะไรและใครเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ทำให้เห็นว่าการศึกษาวิชาดังกล่าวไม่ให้เฉพาะแค่ความรู้เรื่องสิทธิต่างๆเท่านั้น แต่ยังให้ความรู้เรื่ององค์กรต่างซึ่งสัมพันธ์กับการคุ้มครองและการใช้สิทธิ ซึ่งหากได้ศึกษาวิชาดังกล่าวอย่างน้อยก็จะทำให้ได้ความรู้มากขึ้น เวลาใครพูดถึงแม้ไม่สามารถจำเนื้อหาได้ทั้งหมดก็จะได้รูัวัตถุประสงค์หลักๆ และคุยกับคนอื่นได้รู้เรื่องมากขึ้น
อาจารย์ได้ยกตัวอย่างกรณีบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงคิดว่าหากเราได้ศึกษาวิชานี้ก็จะทำให้เราดูหนัง หรือ อ่านหนังสือสนุกขึ้นเนื่องจากมีความรู้ไปปรับใช้กับสถานการณ์ต่างๆ พอเล่าแล้วก็ตลกไปอย่างเดียวไม่รู้เรื่องอะไร แต่จริงๆ บุคคลเหล่านั้นถูกละเมิดสิทธิอยู่ ก็จะทำให้พอใจในชีวิตตัวเองมากขึ้นที่ไม่ได้ถูกละเมิดสิทธิมากขนาดนั้น
เป้าหมายประการสุดท้ายคือเมื่อได้อ่านเค้าโครงการศึกษาพบว่าจะมีการเชื่อมโยงเข้ากับ อนุสัญญาเด็ก และสตรี ซึ่งได้เคยศึกษามาก่อนหน้านี้ก็คิดว่าอาจจะทำให้สามารถนำความรู้ที่เคยศึกษามาประยุกต์เข้ากับวิชาดังกล่าวและอาจเข้าใจวิชาที่เรียนได้ง่ายขึ้น เป็นการต่อยอดความรู้จากที่มีอยู่บ้าง
สวัสดีคะศาสตราจารย์