กฎหมายอีกฉบับที่ออกมาเพื่อสร้าง “ระบบกฎหมายทะเบียนราษฎร” ให้สมบูรณ์มากขึ้น และแทนที่ พ.ร.บ.สำหรับทำบาญชีคนในพระราชอาณาจักร์ พ.ศ.๒๔๕๒ ก็คือ พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎรในเขตต์เทศบาล พ.ศ.๒๔๗๙[1] กฎหมายนี้มุ่งใช้ “เทศบาล” ซึ่งเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นมาทำหน้าที่นายทะเบียนราษฎร กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยสภาผู้แทนราษฎร มิใช่กฎหมายที่พระราชทานจากพระเจ้าแผ่นดินดังเช่นใน ๒ ฉบับก่อนหน้า จึงควรสังเกตว่า แนวคิดเกี่ยวกับราษฎรของเหล่าผู้ปกครองที่มาจากสามัญชนนั้น มีความแตกต่างไปจากแนวคิดของผู้ปกครองซึ่งเป็นกษัตริย์หรือไม่ ? อย่างไร ?
โดยพิจารณาบทบัญญัติทั้งหมดของ พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎรในเขตต์เทศบาล พ.ศ.๒๔๗๙ เราอาจมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการจดทะเบียนการเกิดดังต่อไปนี้
ในประการแรก เป็นข้อสังเกตในเชิงนิติอักษรศาสตร์ เราพบว่า คำว่า “ทะเบียนราษฎร” ได้เริ่มปรากฏเป็นชื่อกฎหมายเป็นครั้งแรก นอกจากนั้น กฎหมายฉบับนี้ได้เริ่มต้นนิยามคำว่า “คนเกิด” โดยให้หมายความถึง “คนที่คลอด แล้วอยู่รอดเป็นทารก”[2] เราไม่พบคำว่า “สัญชาติไทย” ในกฎหมายฉบับนี้ ทั้งที่ในยุคนี้ ได้มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.แปลงชาติ ร.ศ.๑๓๐ (พ.ศ.๒๔๕๔) และ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๔๕๖ แล้ว
ในประการที่สอง เราสังเกตว่า หลักกฎหมายเกี่ยวกับการแจ้งการเกิดได้ถูกบัญญัติอย่างละเอียดละออมากขึ้น โดยกฎหมายยังกำหนดให้เจ้าบ้าน[3] มีหน้าที่แจ้งการเกิดของคนเกิด “ในบ้าน[4]” ต่อนายทะเบียนท้องถิ่นภายในกำหนดเวลา ๑๕ วันนับตั้งแต่วันเกิด[5] ส่วนการเกิด “นอกบ้าน” ให้เป็นหน้าที่ของมารดา ภายใน ๑ เดือน นับตั้งแต่วันเกิด แต่ถ้ามารดาไม่อยู่ในสถานะที่จะแจ้งความได้ ให้เป็นหน้าที่ของบิดา ถ้าไม่มีบิดา หรือทั้งบิดาและมารดาไม่อยู่ในสถานะเช่นว่านั้น ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าบ้านที่มารดาอยู่อาศัยต้องมาแจ้งความการเกิดให้แก่เด็ก[6]
ในประการที่สาม เราสังเกตเห็นการปรากฏตัวครั้งแรกของหลักกฎหมายเรื่องการรับรองการเกิดของผู้ทำคลอดหรือผู้รักษาพยาบาล โดยมาตรา ๒๐ แห่ง พ.ร.บ.ฉบับ พ.ศ.๒๔๗๙ นี้บัญญัติว่า “เมื่อเทศบาลเห็นเป็นการสมควร อาจออกเทศบัญญัติกำหนดให้แพทย์ นางผดุงครรภ์ หรือผู้มีวิทยฐานะอื่นใด มีหน้าที่แจ้งความต่อนายทะเบียนท้องถิ่นในเรื่องคนเกิดคนต่าย หรือทารกตายขณะคลอด ซึ่งตนได้รู้เห็นเนื่องในหน้าที่อันเป็นอาชีพของตน หรือเนื่องจากพฤติการณ์อื่นดังที่ระบุไว้ในเทศบัญญัติ ก็ได้” ขอให้สังเกตว่า หน้าที่ของผู้ทำคลอดหรือผู้รักษาพยาบาลนี้มิได้ขึ้นโดยพลันโดย พ.ร.บ.นี้ แต่ พ.ร.บ.กลับผูกเงื่อนไขให้การเกิดขึ้นของหน้าที่ดังกล่าวเป็นไปตามเทศบัญญัติ ซึ่งถ้าไม่มีเทศบัญญัติกำหนดหน้าที่บุคคลดังกล่าว บุคคลดังกล่าวก็จะยังไม่มีหน้าที่
ในประการที่สี่ เราสังเกตเห็นการปรากฏตัวของบทบัญญัติซึ่งเชื่อมโยงเรื่องชื่อบุคคลของคนเกิดและทะเบียนการเกิด จะเห็นว่า กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้เป็น “หน้าที่” ของนายทะเบียนท้องถิ่นใส่ชื่อของคนเกิดลงในต้นขั้วทะเบียนคนเกิด ซึ่งบิดามีหน้าที่ต้องแจ้งชื่อบุตรต่อนายทะเบียนท้องถิ่นภายใน ๓ เดือนนับตั้งแต่วันตั้งชื่อ แต่ถ้าบิดาไม่อยู่ในสถานะที่จะแจ้งความได้ ให้เป็นหน้าที่ของมารดา ถ้าทั้งบิดาและมารดาไม่อยู่ในสถานะเช่นว่านั้น ให้เป็นหน้าที่ของบุคคลซึ่งพิทักษ์รักษาเด็กนั้น[7]
ในประการที่ห้า เราสังเกตเห็นการปรากฏตัวครั้งแรกของหลักกฎหมายเพื่อทารกเกิดใหม่ซึ่งถูกทิ้ง หรือ “เด็กไร้รากเหง้า” โดยกฎหมายนี้กำหนดให้ “บุคคลผู้พบเด็ก” ต้องให้จัดการช่วยเหลือ และรีบแจ้งความต่อนายทะเบียนท้องถิ่นซึ่งตนพบทารกนั้น หากการแจ้งความนั้นไม่สะดวก บุคคลผู้พบเด็กอาจแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจแห่งท้องถิ่นซึ่งตนพบนั้นก็ได้[8]
ในประการที่หก เราสังเกตเห็นการใช้โทษปรับในการลงโทษผู้ที่ไม่ทำหน้าที่แจ้งความการเกิดใน พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎรในเขตต์เทศบาล พ.ศ.๒๔๗๙ ซึ่งกฎหมายให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่จะทำปรับไม่เกินสิบสองบาท แล้วแต่กรณี
ในประการที่เจ็ดและเป็นประการสุดท้าย เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาปัญหาการจดทะเบียนการเกิดภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่าง ใน พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎรในเขตต์เทศบาล พ.ศ.๒๔๗๙ และกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการจดทะเบียนการเกิด เราจึงอาจสรุปได้ต่อไปว่า ทะเบียนคนเกิดในยุคนี้ก็ยังมีลักษณะทั่วไป (universal) เพราะเราไม่พบว่า กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องปฏิเสธสิทธิของเด็กซึ่งไม่มีสัญชาติไทย เราไม่พบการเลือกปฏิบัติในบทบัญญัติส่วนใดส่วนหนึ่งของกฎหมายฉบับนี้ กรณีเป็นไปเหมือนกฎหมายฉบับก่อนๆ
ขอให้เราจินตนาการต่อไปว่า การทะเบียนราษฎรที่สมบูรณ์ที่สุด ก็คือ การทะเบียนราษฎรในพื้นที่ที่เป็นเทศบาล ซึ่งสภาวการณ์ดังกล่าวนี้เองที่เอื้อความเป็นไปได้ใน พ.ศ.๒๔๘๖ ที่จะกำหนดให้ “คนที่มีสถานะในทะเบียนราษฎร” สามารถมี “บัตรประชาชน” [9] รัฐไทยสมัยใหม่จึงมีความเหมาะสมที่จะกำหนดให้ “บุคคลทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สิบหกปีบริบูรณ์ขึ้นไปจนถึงอายุเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ภายในเขตท้องที่ที่ได้มีพระราชกฤษฎีการะบุ...ต้องมีบัตรประจำตัว...”[10] ในทางกลับกัน คนที่ตกหล่นจากทะเบียนราษฎรก็จะไม่สามารถร้องขอมีบัตรประจำตัวประชาชน ปรากฏการณ์ของกฎหมายว่าด้วยบัตรประชาชนยิ่งสร้าง “ความแตกต่าง” มากขึ้นระหว่าง “คนที่มีชื่อในทะเบียนราษฎร” และ “คนที่ไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร” และโดยทั่วไป ความเป็นไปได้ที่คนจะเข้าสู่ทะเบียนราษฎร ก็คือ การได้รับการจดทะเบียนการเกิด หรือการได้รับการลงรายการในทะเบียนบ้าน ดังนั้น ข้อกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิในการได้รับการจดทะเบียนการเกิด หรือสิทธิในการลงรายการหรือเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน จึงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมากขึ้นในสังคมไทย
พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎรในเขตต์เทศบาล พ.ศ.๒๔๗๙ ถูกประกาศใช้เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๙ และถูกยกเลิกโดยมาตรา ๓ แห่ง พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.๒๔๙๙ ในวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๙ ซึ่งรวมเวลากว่า ๒๐ ปี ที่มีการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้
[10] มาตรา ๔ แห่ง พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.๒๔๘๖
สถานการณ์ด้านข้อกฎหมายและประเพณีปกครองของรัฐไทย
ไม่มีความเห็น