ปิดเทอมไม่ว้าวุ่น.. จัดระบบให้ลูก
|
|
ปิดเทอมใหญ่ สำหรับเด็กๆ คือความสุข เพราะไม่ต้องไปเรียน แต่สำหรับพ่อแม่แล้ว การดูแลลูกช่วงปิดเทอมเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร หากพ่อแม่ที่มีเวลา คงจะเป็นโอกาสทองในการหากิจกรรมที่สร้างสรรค์ให้ลูก แต่ในรายที่เวลาน้อย ปิดเทอมใหญ่อาจสร้างความว้าวุ่นได้ไม่น้อย เพราะห่วงลูกจะเกิดปัญหาต่างๆ ซึ่ง น.พ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ ระบุว่าเด็กที่มีอิสระมากไปในช่วงปิดเทอมอาจจะเกิดปัญหาได้ พ่อแม่ต้องเรียนรู้วิธีรับมือเพื่อป้องกันปัญหา
|
"ช่วงปิดเทอมเด็กมีเวลาว่างมากเกินไป ทำให้เกิดความเป็นอิสระ แม้ความเป็นอิสระจะช่วยทำให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายช่วงปิดเทอมหลังจากที่ตรากตรำเล่าเรียนกันมาอย่างหนักหนาสาหัส เมื่อมีเวลาที่เป็นอิสระมากเกินไปหรือเกินขอบเขตอาจมีความเสี่ยงที่จะใช้เวลาในทางที่ผิดได้ เช่น การเที่ยวเตร่หรือมั่วสุมมากเกินขอบเขต หรือการใช้เวลาไปอยู่กับสื่อที่มักก่อให้เกิดปัญหา เช่น อินเตอร์เน็ต เนื่องจากไม่ต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน จึงทำให้ระบบการนอนและวินัยเสียไป นอกจากนี้เด็กบางคนมักหาโอกาสทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมในช่วงปิดเทอมเมื่อไม่มีใครควบคุมเรื่องเวลาที่ดีพอ เช่น อาจมีปัญหาเรื่องชู้สาวตามมาเนื่องจากมีเวลาท่องเที่ยวอย่างอิสระ" การที่เด็กมีอิสระมากไปในช่วงปิดเทอมยังอาจทำให้เด็กเริ่มชินกับการทำอะไรช้าๆ ไปเรื่อยๆ ทำให้ปรับตัวไม่ทันในช่วงเปิดเทอม จากประสบการณ์พบว่าเด็กหลายคนเริ่มขาดความสนใจในการเรียนจนกระทั่งถึงเปิดเทอมก็ยังติดพฤติกรรมเดิมๆ เหมือนช่วงปิดเทอมอยู่สักระยะหนึ่ง รวมถึงการนอนตื่นสาย หากไม่มีการเตือนให้รีบกลับมาสู่การเรียนหรือกฎเกณฑ์อย่างแท้จริงอาจเกิดปัญหาตามมาได้ การปล่อยให้เด็กต้องอยู่ที่บ้านเพียงลำพังนานๆ เพราะพ่อแม่ต้องไปทำงาน ยังอาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องขาดการควบคุมพฤติกรรม ไม่เหมือนตอนอยู่โรงเรียนในช่วงกลางวันที่มีคุณครูคอยดูแล ดังนั้น การควบคุม กฎเกณฑ์ต่างๆ อาจค่อนข้างยาก บางคนติดเพื่อนมาก เมื่อถึงช่วงเวลาปิดเทอมอาจเหงา จะหมกมุ่นกับการใช้สื่อเทคโนโลยีต่างๆ เช่น การคุยโทรศัพท์ เล่นอินเตอร์เน็ต เล่นเกมทั้งวัน ทำให้พ่อแม่ต้องเจอปัญหาค่าใช้จ่ายสูงขึ้น บางรายอาจมีปัญหาเรื่องสุขภาพตามมา เนื่องจากมีเวลาว่าง ไม่ค่อยได้ทำอะไรมากนัก พักผ่อนเป็นส่วนใหญ่ ทำให้บริโภคมากเกินความจำเป็น เกิดปัญหาน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น สำหรับวิธีการบริหารจัดการลูกเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในช่วงปิดเทอม น.พ.กัมปนาท ให้คำแนะนำกับพ่อแม่ดังนี้ 1.พ่อแม่ควรชี้แจงให้ลูกทราบว่าการปิดเทอม แม้จะเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนแต่ยังเป็นช่วงเวลาที่ควรมีการเผื่อสำหรับการเรียนในภาคเรียนต่อไปบ้าง อย่างน้อยสักร้อยละ 20-30 ที่ควรจะเผื่อไว้เสมอ จะได้เป็นสิ่งที่คอยกระตุ้นเตือนให้ตระหนักถึงภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของเด็กที่ยังคงต้องมีอย่างต่อเนื่อง 2.ลูกควรรับทราบว่าร่างกายของคนเราโดยเฉพาะสมองจะมีส่วนควบคุมที่เปรียบเสมือนนาฬิกาชีวภาพ คอยกำหนดเวลากิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนอนหลับ การตื่นจากนอนหลับ หรือแม้แต่การกำหนดกิจวัตรประจำวันที่เราทำบ่อยๆ จะทำให้เกิดการจัดระเบียบขึ้นมาในร่างกายและการรับรู้ต่างๆ ในแต่ละวันด้วย หากมีการปรับเปลี่ยนเวลาด้วยการทำตัวขาดระเบียบมากจนเกินไปจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า "นาฬิการวน" นั่นเอง การกู้กลับมาต้องใช้เวลาอีกพอสมควร 3.ควรจัดให้เด็กร่วมมือจัดตารางเวลาของตนเอง และนำมาให้พ่อแม่ดูว่าควรทำอะไรบ้างในช่วงปิดเทอม โดยไม่จำเป็นต้องเข้มงวดหรือมีกิจกรรมที่แน่นจนเกินไป หรือไม่มีอะไรให้ทำเลย เพราะเด็กสมัยนี้เวลาว่างมักมีปัญหาเรื่องจิตใจฟุ้งซ่าน สมาธิไม่ค่อยดี ควรจัดกิจกรรมที่เรียกสมาธิกลับมา 4.บางครอบครัวสนับสนุนให้ลูกไปฝึกงาน อาจทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ถึงแม้ไม่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ทำให้ได้ประสบการณ์และความภาคภูมิใจ พบว่าเด็กที่รู้จักทำงานช่วยเหลือครอบครัวตั้งแต่เด็กมักเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และมีความอดทนมากกว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงแบบตามใจอย่างชัดเจน 5.พ่อแม่ควรให้เวลากับลูกบ้างพอสมควร เนื่องจากช่วงเวลาปิดเทอมนั้นมักเป็นช่วงหน้าร้อน ซึ่งเหมาะกับการท่องเที่ยว และไม่ค่อยเหมาะกับการทำงานสักเท่าไรนัก การยอมเสียสละเวลาบ้างเพื่อลูกโดยไม่กระทบต่องานหลักที่ทำอยู่น่าจะทำให้เด็กมีความสุขมากขึ้น อีกทั้งเป็นช่วงเวลาแห่งการกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกด้วย การที่พ่อแม่ผู้ปกครองมีเวลาให้ลูกบ้างในช่วงปิดเทอมจะเป็นการเพิ่มความหวัง ความสุขให้ลูก ขณะเดียวกันสามารถป้องกันมิให้เด็กไปแสวงหาความสุขในช่องทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การเสพยาเสพติด 6.พ่อแม่ที่เคยสังเกตว่าลูกมีปัญหาด้านสุขภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพกายที่ไม่เร่งด่วนหรือปัญหาสุขภาพใจที่เคยรอได้มาหลายเดือน น่าจะเป็นช่วงเวลาที่มาขอคำแนะนำ ปรึกษาและหาทางบำบัดรักษาในกรณีที่เจ็บป่วย เช่น เป็นโรคทางจิตเวช หรือสงสัยว่ามีปัญหาสุขภาพจิตบางอย่างซ่อนอยู่ ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ข่าวสด แหล่งที่มา : มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย
|
ที่มา : http://www.maceducation.com/content2.php?id=861