การทำทานอย่างไรให้ได้บุญมาก ก็เป็นเรื่องที่ชาวพุทธมักไม่ค่อยรู้เรื่องและเข้าใจ คิดแต่ว่าต้องบริจาคเงินเยอะ ๆ แล้วจะได้บุญเยอะ ซึ่งไม่จำเป็นเสมอไป หรือบางคนก็คิดกลับกัน ไม่กล้าให้ทาน เพราะกลัวว่าจะเรียกว่าเป็นความโลภซะอีก โอกาสนี้จึงขอนำเสนอความเข้าใจให้ถูกโดยผมได้มาจากหนังสือชื่อ “วิธีสร้างบุญบารมี” ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ได้บอกวิธีให้ทานที่จะให้ผลมากต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ วัตถุทาน เจตนา และ เนื้อนาบุญ
1 วัตถุทานต้องบริสุทธิ์
วัตถุทาน เช่น เงิน สิ่งของ ต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ดังนั้น หากฆ่าสัตว์เพื่อถวายอาหารเพลก็ย่อมได้บุญน้อยจนถึงเกือบไม่ได้อะไรเลย หรือถ้าขโมยเงินมาทำบุญ หรือโกงบ้านโกงเมืองมาแล้วทำบุญก็แทบไม่ได้บุญ หรือ หากบังคับเบียดเบียนคนอื่นมาทำบุญก็แทบไม่ได้บุญอะไรเลย รวมถึง พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของแพง ๆ เกินควรแล้วเอาเงินมาทำบุญ
2 เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์
จะเห็นได้ว่าบางคนให้ทานด้วยความโลภ แต่จริง ๆ แล้วเป็นสิ่งตรงข้ามกับจุดมุ่งหมายการให้ทาน เพราะการให้ทานเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่ขี้เหนียว และเจตนาจะต้องสมบูรณ์พร้อม 3 ระยะ ก่อนให้ กำลังให้ และหลังให้ ต้องรู้สึกร่าเริง เบิกบาน ยินดีเพื่อให้คนอื่นมีความสุข และให้ได้บุญมากยิ่งกว่านี้ ก็ต้องให้ทานพร้อมมีวิปัสสนาปัญญาใคร่ครวญถึงวัตถุทานว่าเป็นวัตถุธาตุที่มีประจำโลก เป็นสมบัติกลางไม่ใช่เป็นของผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ เกิดขึ้นก่อนเราเกิดและเมื่อเราตายไปก็เอาไปไม่ได้
ตัวอย่างของเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ได้แก่
- เบียดเบียนตนเอง ครอบครัว หรือคนใกล้ตัว เช่น มีเงินน้อยแต่ทำเยอะ เมื่อให้แล้วก็จะมีจิตใจเศร้าหมอง
- อยากได้หน้า เรียกว่าทำทานด้วยความโลภ
- ฝืนใจทำ ทำเพราะเสียไม่ได้ เช่น พวกพ้องมาเรี่ยไร ตัวเองไม่ศรัทธาแต่ต้องจำใจทำ เรียกว่าเป็นการทำทานด้วยความตระหนี่ หรือเสียดาย และหากเสียดายมาก ๆ จนเกิดโทสจริต แทนที่จะได้บุญก็จะได้บาป
- ทำด้วยความโลภ เช่น ทำบุญ 100 บาทแต่อธิษฐานขอให้เป็นมหาเศรษฐี ขอให้ถูกหวย ขอให้สวย ทำอย่างนี้ไม่ได้บุญอะไรเลย และสิ่งที่จะพอกพูนขึ้นคือ ความโลภ
ผลของทาน
หากทานมีกำลังไม่มาก ย่อมนำให้ผู้นั้นมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง แต่หากมีกำลังแรงมาก ก็อาจจะน้อมนำให้เกิดเป็นเทวดา และเมื่อเสวยบุญหมดแล้วก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ที่ร่ำรวย
ชอบข้อความสุดท้ายและอันแรกมากครับ
ขอบคุณสำหรับแนวคิดดีๆครับ
ขอบพระคุณมากครับ