ภาพลักษณ์นั้นสำคัญจริงหรือ?


"ภาพลักษณ์" จะสำคัญหรือไม่ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นในใจผู้คนเสมอ

          เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวันหยุดพักผ่อน เวลา ประมาณ ๑๕.๓๐ น. บังเอิญได้เปิดกล่อง CTH ดูหนังที่ช่อง ๕๔ ที่ดูก็ด้วยความแปลกเพราะเป็นหนังจีนสากล ที่ไม่ใช่หนังใช้มีดดาบฟาดฟันกัน เป็นหนังที่ผูกเนคไทใส่สูท มุมบนขวาของช่องบอกว่าเป็นหนังคลาสสิค แต่ก็เป็นหนังเก่าที่มีภาพแค่ครึ่งจอ อายุอานามของหนังนั้นคงจะเก่ากว่าตัวผม หรือถ่ายทำก่อนผมเกิดเป็นแน่ เพราะตัวผมนั้น ๓๐ ขวบแล้ว (ฮาๆๆ) หนังมีการร้องเพลงและการเต้นประกอบตลอด เหมือนเราดูหนังอินเดียที่วิ่งไล่หากันรอบต้นไม้ รอบภูเขา พร้อมร้องเพลงโต้ตอบกันไปมาประมาณนั้น

          หนังเก่า ไม่ใช่หนังย้อนยุคที่ใช้ดาราในยุคปัจจุบันแสดง ที่เก่าเพราะการแต่งกายน่าจะเหมือนกับเพิ่งได้รับวัฒนธรรมตะวันตกได้ไม่นาน พระเอกไม่ได้รูปหล่ออะไรเลย ส่วนนางเอกค่อนข้างอวบ ขาใหญ่ ถ้าเป็นสมัยนี้แค่แสดงเป็นตัวอิจฉาหรือตัวประกอบยังไม่ได้เลย เพราะสมัยนี้นอกจากหน้าตาดีแล้วต้องหุ่นดีด้วย

          จากการที่ดูเอาขำ หรือดูเอาฮา กลายเป็นความประทับใจ เพราะโดยรวมแล้วน่าจะเป็นหนังที่ลงทุนไม่มาก ฉากก็ไม่ได้อลังการงานสร้างแต่อย่างใด แต่เมื่อดูๆ ไป กับทำให้ต่อมน้ำตาแตกได้เลยที่เดียว

          เรื่องย่อมีอยู่ว่า พระเอก “เฉินซี่ซิง” เป็นเพลย์บอยหนุ่มนักมายากลที่มีชื่อเสียง แสดงตามคลับ ตามบาร์ อายุประมาณ ๔๐ ต้นๆ เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ทั้งเที่ยว ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ สีหญิง กะล่อน รวมทั้งหลอกเงินจากผู้หญิงด้วย ผู้ช่วยที่ช่วยเขาแสดงมายากลจะเสร็จเขาทุกราย

          ชีวิตของ “เฉินซี่ซิง” คงจะดำเนินไปอย่างนั้นต่อไปถ้าเขาไม่ได้เจอกับ “เสี่ยวผิง” หญิงสาวอายุ ๑๙ ย่าง ๒๐ ปี ที่ก่อนเสียชีวิตคุณพ่อของเธอซึ่งเป็นนักมายากลเช่นกัน ได้เขียนจดหมายและบอกให้เธอมาอยู่กับเขาและฝากเขาให้ดูแลเธอ โดยพ่อของเธอบอกเธอ “เขาเป็นคนดี” เธอก็เชื่อเช่นนั้น ในขณะที่เขาไม่คิดเช่นนั้น และพยายามไล่เธอให้ไปจากชีวิตเขา แต่เธอไม่ยอมไป

          “เสี่ยวผิง” ได้มาเป็นผู้ช่วย “เฉินซี่ซิง” ด้วยความสวยและความสามารถด้านร้องเพลง ทำให้มีแมวมองจากค่ายหนัง ค่ายเพลง ติดต่อเขามา แต่เมื่อผู้จัดการ เจ้าของค่ายเพลงมาพบและทราบว่า เธอเป็นผู้ช่วยของนักมายากลอย่าง “เฉินซี่ซิง” เขาเหล่านั้นต่างจากไปเพราะด้วยภาพลักษณ์นักเพลย์บอยของเขา และความเชื่อที่ว่า “ผู้ช่วยทุกคนของเขาต้องเสร็จเขาทุกคน” ซึ่งในความจริงแล้วเขาไม่เคยแตะต้องตัวเธอเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นเพื่อนพ่อเธอ หรืออาจเป็นเพราะว่าเธอ อ่อนหวานและเรียบร้อยเกินไปที่จะทำร้ายเธอ หรืออาจเป็นเพราะเขารักเธอจริง สิ่งที่เขาได้ทำคือการปกป้องเธอในทุกโอกาส ซึ่งสิ่งนี้เป็นการตอกย้ำให้เธอเห็นถึงสิ่งที่พ่อเธอบอกแก่เธอว่า “เขาเป็นคนดี”

          เส้นทางชีวิตพลิกผัน เมื่อ “ลุงเฉิน” มหาเศรษฐีแก่ที่เงียบเหงา โหยหาหลานสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว ๒๐ ปี ได้มาพบกับ “เสี่ยวผิง” ด้วยความร่าเริง สดใส ทำให้ “ลุงเฉิน” กลับมาสดชื่น อยากพบแต่ “เสี่ยวผิง” หลานสาวอีกคนของ “ลุงเฉิน” ทราบข่าวจากคนใช้เก่าแก่ว่า “ลุงเฉิน” ป่วยหนักและจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เธอสงสารและเห็นใจคุณลุงของเธอมาก เธอจึงไปหา “เฉินซี่ซิง” ขอให้เขาช่วยพูดกับ “เสี่ยวผิง” เขาได้พยายามพูดให้เธอเข้าใจถึงโอกาสที่เธอจะได้รับจากอำนาจ บารมีของ “ลุงเฉิน” เธอจะได้ร้องเพลง ได้เป็นดาราตามที่ใฝ่ฝัน ชีวิตของเธอจะได้สบายขึ้นไม่ต้องจมปลักอยู่กับเขาที่เป็นเพลย์บอย

          “เสี่ยวผิง” ไม่ยินยอมที่จะไป เธอบอกว่าชีวิตเธอไม่ต้องการความสุขสบาย เธอเพียงต้องการเป็นผู้ช่วยเขา เธอเลือกที่จะอยู่กับเขา เมื่อไม่มีทางใดที่จะพูดให้เธอคล้อยตามได้ เขาจึงต้องใช้วิธีไล่เธอ บอกว่าเธอเป็นตัวถ่วง เป็นภาระให้กับเขา เขาสูญเสียอิสระภาพ และขอให้เธอออกไปจากชีวิตของเขา

          เมื่อถูกไล่ ด้วยความน้อยใจที่เขาไม่เห็นคุณค่าในความรักที่เธอมีต่อเขา “เสี่ยวผิง” จึงไปอยู่ดูแล “ลุงเฉิน” โดยที่ “เฉินซี่ซิง” ได้ร่วมเดินทางมาส่งเธอ พร้อมฝากเธอไว้กับ “ลุงเฉิน” การมาของ “เสี่ยวผิง” สร้างความไม่พอใจให้กับหลานชายที่เป็นผู้ดูแลมรดกเป็นอย่างมาก กลัวว่าเธอจะมาแย่งสมบัติของ “ลุงเฉิน” ไปจากเขาซึ่งเป็นหลานแท้ๆ หลานชายนำเงินไปให้ “เฉินซี่ซิง” เพราะเห็นว่าเขาเป็นเพล์บอย หนุ่มเจ้าสำราญที่ต้องการขาย “เสี่ยวผิง” เพื่อเงิน แต่เขาไม่รับเงินแม้แต่บาทเดียว ส่วนหลานชายก็ไปบอก “ลุงเฉิน” ว่า “เฉินซี่ซิง” เรียกร้องเงินจำนวนมาก แท้จริงแล้วเขาเป็นผู้เก็บเงินจำนวนนี้ไว้ และเขาก็ได้ทำแบบนี้อีก ๒ ครั้ง ซึ่ง “ลุงเฉิน” ก็ยอมจ่ายเพื่อตัดรำคาญ และกลัวเสีย “เสี่ยวผิง” ไป

          เมื่อความรู้ถึง “เสี่ยวผิง” เธอเสียใจมากที่เขาเห็นแก่เงิน แต่ในใจลึกๆ แล้วเธอไม่เชื่อว่าว่าเขาจะเป็นคนเช่นนั้น จึงได้บุกไปถามเขาถึงคาเฟ่แห่งหนึ่ง ทำให้พบขอเท็จจริงว่าเขาไม่ได้รับเงินหรือเรียกร้องเงินแม้แต่บาทเดียว และขอให้เธออย่าบอก “ลุงเฉิน” เพราะกลัวว่าหลานชาย “ลุงเฉิน” จะทำร้ายเธอ เธอซาบซึ้งใจมาก

          ชีวิตของ “เสี่ยวผิง” ในบ้านเศรษฐีเฉินเป็นไปอย่างมีความสุข เธอได้ต่อเติมความฝันของเธอด้วยการฝึกร้องรำทำเพลงกับหลานสาวและผองเพื่อน จนคิดอยากจะเปิดวง เปิดการแสดง หลานสาวของ “ลุงเฉิน” จึงขอให้ “เสี่ยวผิง” ซึ่งเป็นคนโปรดไปขอเงิน “ลุงเฉิน” เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตั้งวงและเปิดการแสดง

          “ลุงเฉิน” ปฏิเสธเธออย่างไม่ใยดี พร้อมบอกว่าเธอก็เหมือนกับ “เฉินซี่ซิง” ที่ต้องการแต่เงิน และต้องการมาหลอกลวงเขา พร้อมชี้ให้ดูจดหมายของ “เฉินซี่ซิง” ที่เพิ่งได้รับ และคิดว่าเขาเขียนมาเพื่อไถเงินอีก (ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อ่าน) และได้ขับไล่เธอให้ออกจากบ้าน ก่อนไปเธอได้ไปยืนลา “ลุงเฉิน” ที่หน้าห้องพร้อมบอกถึงการไม่เคยรับเงินเลยของ “เฉินซี่ซิง” และก่อนที่เธอจะจากมา ปรากฏว่า “ลุงเฉิน” เกิดอาการเจ็บอก ทุรนทุราย เธอรีบเข้าไปดูแล ขณะนั้นฝนฟ้าคะนอง ลมแรงมาก โทรศัพท์ถูกตัดตามหมอประจำตัว “ลุงเฉิน” ไม่ได้ เธอจึงตัดสินใจวิ่งฝ่าพายุไปตามถนนที่มีหิมะ ลมแรง ต้นไม้ล้มขวางทาง แต่อย่างไรก็ตามเธอก็พยายามจนไปถึงบ้านคุณหมอ แม้จะไม่พบคุณหมอซึ่งไปรักษาผู้ป่วยรายอื่น เธอก็ได้บอกคนที่บ้านเมื่อคุณหมอกลับมารีบไปดู “ลุงเฉิน”

          “ลุงเฉิน” ปลอดภัย เพราะได้รับการดูแลจากหมอประจำตัว และทำให้ทราบว่า “เสี่ยวผิง” เป็นผู้ที่ฝ่าพายุไปตามหมอ “ลุงเฉิน” ได้หยิบจดหมายที่คิดว่าเขียนมาเรียกร้องเงินของ “เฉินซี่ซิง” ข้อความในจดหมายนั้นขอร้องให้ “ลุงเฉิน” สนับสนุน “เสี่ยวผิง” ให้ได้ร้องเพลงตามความฝันของเธอ เพราะเธอมีความรู้ความสามารถและ “ลุงเฉิน” ก็เป็นผู้ที่มีเงินและมีอิทธิพลที่จะทำความฝันของ “เสี่ยวผิง” ให้เป็นจริงได้

          “ลุงเฉิน” วางจดหมายฉบับนั้นอย่างแผ่วเบา พร้อมสายตาที่เหม่อลอยทอดยาวออกไป เขาตัดสินใจสนับสนุนเงินให้ “เสี่ยวผิง” และหลานสาวพร้อมผองเพื่อนตั้งวงเปิดการแสดงตามคำขอ โดย “ลุงเฉิน” ให้ “เฉินซี่ซิง” มาเป็นผู้จัดการวง ทุกคนต่างยินดีที่ “เฉินซี่ซิง” จะมาเป็นผู้จัดการวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ “เสี่ยวผิง”

          “เฉินซี่ซิง” ได้ใช้ประสบการณ์ เครือข่ายต่างๆ ที่มีประสานการจัดงานขึ้น ทั้งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ติดต่อสถานที่ ฯลฯ แต่...ก็มีอุปสรรคจนได้ เมื่อ เจ้าหนี้เก่ามาทวงเงินคืนจากเขาพร้อมแบล๊คเมล์ (โดยได้รับการว่าจ้างจากหลานชายของ “ลุงเฉิน”) เรียกร้องเงินจำนวนมากเป็นค่าปิดปาก กรณีจะเก็บเรื่องที่ “เสี่ยวผิง” ตัวชูโรงในการแสดงครั้งนี้เคยเป็นผู้ช่วยให้แก่เขา นักมายากลจอมเพลย์บอล ซึ่งจะทำให้ “เสี่ยวผิง” ไม่มีโอกาสที่จะโด่งดังได้เลย....ด้วยชุดความเชื่อที่ว่า “ผู้ช่วยทุกคนของเขาต้องเสร็จเขาทุกคน” เพื่อเธอ...ทำให้เขาตอบตกลง    ถ้า “เฉินซี่ซิง” ไม่จ่ายเงินการแสดงก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ทำให้เขาขโมยเงินของ “ลุงเฉิน” ที่ฝากไว้ไปให้ แต่ “เสี่ยวผิง” ที่ไม่อยากให้เขาทำสิ่งไม่ดีเพื่อเธอ แจ้งตำรวจมาจับพวกเหล่านั้นร่วมทั้งหลานชาย “ลุงเฉิน” ด้วย

          อย่างไรก็ตาม เมื่อการแสดงได้ครึ่งทาง “เฉินซี่ซิง” ตัดสินใจแยกตัวออกไปจากวง เพื่อไม่อยากให้เขาเป็นตัวถ่วงของวง เพราะภาพเพลย์บอลหนุ่มเจ้าสำราญจะไปฉุดรั้งวง และ “เสี่ยวผิง” ได้ ผู้ชมประทับใจการแสดงมาก ต่างติดต่อให้ไปจัดแสดง นักแสดงทุกคนต่างเศร้าเมื่อทราบว่า “เฉินซี่ซิง” ได้จากไปเสียแล้ว...

          “ลุงเฉิน” ได้บอกให้ “เสี่ยวผิง” ไปตาม “เฉินซี่ซิง” กลับมา

          ในที่สุด “เฉินซี่ซิง” ก็กลับมา....

          เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ ทำให้ผมคิดว่า “ภาพลักษณ์” ของคนเรานั้นมีความสำคัญจริงๆ คำว่า “ภาพลักษณ์” หมายถึง ลักษณะหรือท่าทีของบุคคล หรือขององค์กรที่ปรากฏแก่สายตา หรือความรู้สึกนึกคิดของสาธารณชน เช่น ภาพลักษณ์นักการเมือง ภาพลักษณ์ของสหประชาชาติ (อ.โชคชัย บัณฑิตศิละศักดิ์ www.mmtc.ac.th)

          ขณะเดียวกัน ก็ทำให้ทราบว่า “สิ่งที่เห็น...อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นก็ได้” “ภาพที่เกิดจากความนึกคิดหรือที่คิดว่าควรจะเป็นเช่นนั้น ข้อเท็จจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้” “สิ่งที่เราคิดเกี่ยวกับคนอื่น อาจจะไม่ถูกต้อง หรือไม่ใช่ก็ได้” จริงไหมครับ.

หมายเลขบันทึก: 564613เขียนเมื่อ 25 มีนาคม 2014 07:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 มีนาคม 2014 12:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

อ่านแล้ว

น่าสนใจมาก

เห็นด้วยว่า

สิ่งที่เีราเห็นอาจจะไม่ใช่แบบที่เราคิดครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท