Keynote Lecture เปิดงานเรื่อง Transformative Learning for Health Equity โดย Prof. Julio Frenk เช้าวันที่ ๒๙ ม.ค. ๕๗ มีความชัดเจน และใช้เทคโนโลยีช่วยการนำเสนอได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ผมถ่ายรูปสไลด์ไว้หมด และจะมี powerpoint ของท่านขึ้นเว็บ ให้ download ได้ ที่นี่ ผมจดหัวใจของเรื่องที่ผมติดใจไว้ดังนี้
ตามด้วย Plenary 1 Transformative Learning for Health Equity : Working beyond Customaries / Breaking Down the Boundaries / Opening New Possibilities โดยมี นพ. สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ วาดลวดลายการทำหน้าที่ moderator ที่ทั้งให้ความสนุกสนานและสาระ
ฟังแล้วเกิดจินตนาการ เห็นลู่ทางทำงานสร้างสรรค์การเรียนรู้แบบใหม่ หลากหลายแบบ ไร้ขอบเขตจำกัด เพื่อสนองสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยสนองเป้าหมายคือ ความเป็นธรรมในสังคม ด้านสุขภาวะ ซึ่งก็ตีความได้กว้าง และหลายมุม พอจะสรุปประเด็นสำคัญคือ
จบจาก PL 1 เพื่อรับเสด็จองค์ประธานในพิธีเปิด คือสมเด็จพระเทพรัตน์ แล้วเป็นพิธีเปิดที่ทรงพลัง อย่างยิ่งในการสื่อสาระของความจำเป็นและหลักการของ Transformative Learning for Health Equity โดยมีผู้พูด และเรื่อง ดังนี้
ตอนบ่ายเริ่มด้วย Keynote โดยศาสตราจารย์ Keizo Takemi เรื่อง Global Political Leadership for Promoting Implementation of Transformative Education for Health Equity ท่านเหมาะที่จะพูดเรื่องนี้ เพราะเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และเวลานี้ก็เป็นผู้แทนราษฎรของโตเกียว ท่านบอกว่า ประเทศญี่ปุ่นกำหนดนโยบายเรื่องสุขภาพโลกไว้ในนโยบายต่างประเทศ และกำหนดการคุ้มครองสุขภาพ ถ้วนหน้าเป็นนโยบายสาธารณสุขของประเทศ
หัวใจสำคัญของ health equity คือ การคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งเป็นนโยบายที่นักการเมือง ใช้หาเสียงได้ผลมาก (ดังกรณีประเทศไทย) และการขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพโลกผ่านประเด็น health equity จะมีพลังมาก
Plenary 2 Implementing Global Human Resource for Health Education Reform : Examining Experiences and Evidence ซึ่งเป็นการนำตัวอย่างในแต่ละประเทศมานำเสนอ moderate โดยรอง ผอ. ใหญ่องค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นคนฝรั่งเศส โดยมีเกณฑ์การคัดเลือกมานำเสนอ ๔ เกณฑ์คือ (๑) เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีการปฏิรูปการเรียนรู้อย่างชัดเจน (๒) มีการสนับสนุนงบประมาณอย่างจริงจังต่อเนื่อง (๓) ลดอัตราตกออกของ นศ. (๔) ประสิทธิภาพในภาพรวมเพิ่มขึ้น
ผู้นำเสนอกรณีตัวอย่างท่านหนึ่งเสนอเรื่องของ Walter Sisulu University School of Medicine, South Africa ได้เงินสนับสนุนจาก USAID ผ่านโครงการ CapacityPlus จัดการศึกษาผลิตแพทย์เพื่อพื้นที่ยากจน มีนวัตกรรมคือ คัดเลือก นศ. จากพื้นที่ขาดแคลน, จัดการเรียนการสอนแบบ student-centered, และ จัดการฝึกทักษะแบบฝังตัวในพื้นที่ กระจายไปตามระบบบริการในพื้นที่ขาดแคลน ผลชัดเจนว่า ลด นศ. ตกออก และลดค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายต่อหัวบัณฑิตในหลักสูตร ๕ ปี เท่ากับ $ 162,000 หรือประมาณ ๕ ล้านบาทเศษ
อีกท่านหนึ่งเสนอโครงการ CapacityPlus ที่สหรัฐอเมริกาใช้ความช่วยเหลือด้านการผลิตบุคลากร สุขภาพ เพื่อเป็นเครื่องมือด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั่นเอง
ที่ผมชื่นชมที่สุดคือเรื่องราวของ Northern Ontario School of Medicine แคนาดา ที่รัฐตั้ง โรงเรียนแพทย์ขึ้นมาผลิตแพทย์ให้แก่คนในพื้นที่ที่มีคนเพียง ๘ แสนคนกระจัดกระจายอยู่ใน พื้นที่กว้างใหญ่ เท่ากับประเทศอังกฤษกับฝรั่งเศสรวมกัน นี่คือโรงเรียนแพทย์ชนบทตัวจริง และใช้หลักสูตรการเรียนการสอน แบบที่ล้ำหน้า ไม่เหมือนโรงเรียนแพทย์ใดๆ ในแคนาดา ที่เขาเรียกว่า community-engaged education Roger Strasser คณบดี ไปจากออสเตรเลีย ผมไปพบที่บราซิล ท่านได้รับรางวัลครูตัวอย่างจาก PMAC 2014 ด้วย
PS 2.4 What Difference Can Transformaive Learning Make to Improving Performance of Health Workers? ผมไปเข้าห้องย่อยนี้ (มีทั้งหมด ๗ ห้องย่อยพร้อมกัน) เพราะอยากรู้วิธีวัด performance ของบัณฑิต ซึ่งจากการประชุม ผมสรุปว่าไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว พวกนักวิชาการสายพัฒนา อยากได้เครื่องมือวัด ที่ใช้เปรียบเทียบกันได้ แต่ผมว่าผลกระทบที่ระบบสุขภาพดีขึ้น สุขภาพของผู้คนดีขึ้น คือตัววัดที่แท้จริง
เป็นอันจบการประชุมวันแรก
แต่ไฮไล้ท์ อยู่ที่พิธีเลี้ยงรับรองตอนค่ำ ที่มี Dinner Talk โดย Jim Yong Kim ประธานธนาคารโลก ที่กล่าวถึงเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็ได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ คือการรักษาผู้ติดเชื้อ เอ็ชไอวี กับระบบ คุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้าของไทย พลังใจจากความสำเร็จทั้งสองเรื่อง น่าจะเป็นตัวอย่างให้เรื่องยากยิ่ง ที่เราไปประชุมกัน คือ การเปลี่ยนโฉมการศึกษา เพื่อความเป็นธรรมด้านสุขภาพ (Transforming Education for Health Equity) ให้สำเร็จได้ อ่านต้นฉบับปาฐกถาได้ ที่นี่
วิจารณ์ พานิช
๑ ก.พ. ๕๗
ไม่มีความเห็น