เมื่อพระพุทธองค์ใกล้จะดับขันธ์ปรินิพพาน ได้ทรงบอกกับพระอานนท์ไว้ว่า ... อานนท์ ในกาลข้างหน้า ถ้าสงฆ์ต้องการจะ "เพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อย" ก็จงเพิกถอนเถิด...
คำว่า เถรวาท แปลว่า วาทะของพระเถระ หมายความว่า พระอานนท์และพระเถระอื่นๆ ได้ประชุมกันรวบรวมพระพุทธพจน์ที่กระจัดกระจายอยู่ในที่นั้นๆเอามาจัดเป็นหมวดหมู่แล้วก็ท่องจำสืบต่อกันมา
ต่อมาได้มีนิกายย่อยๆ เกิดขึ้นมากหลาย ประมาณร้อยปีนั้น มีนิกายที่แตกแยกออกไปถึง ๘ นิกาย แต่ว่านิกายเหล่านั้นแตกแยกออกไปแล้ว ในที่สุดก็สลายตัวหมด คงเหลือแต่เถรวาท มาภายหลังเมื่อเกิดมหายานขึ้น มหายานก็เลยเรียกเถรวาท หรือพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมนี้ว่าเป็น หินยาน แล้วก็เรียกตัวเองว่า มหายาน แปลว่า ยานใหญ่
ส่วนหินยานแปลว่า ยานเลวหรือว่ายานเล็กๆน้อยๆ คือสมัยที่เกิดการแก่งแย่งกันขึ้นเลยเรียกเถรวาทด้วยชื่อที่ไม่ดี แต่ว่าในครั้งหลังเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ เรามีการรวบรวมพุทธศาสนิกชนที่นับถือพระพุทธศาสนาทั่วโลกบรรดามีมาประชุมร่วมกัน ที่เรียกว่าพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (The World Fellowship of Buddhist) ในครั้งแรกนั้นก็ได้มีการเสนอญัตติขอให้เลิกเรียกคำว่าหินยาน เพราะว่าเป็นการเรียกแบบดูหมิ่นกัน หรือว่าเป็นการแสดงความแข่งขันทะเลาะวิวาทกันใ ห้คงเรียกเถรวาทตามเดิม คือวาทะของพระเถระที่ท่องจำพระพุทธวจนะสืบต่อกันมาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า เราจะเห็นได้ว่าพระพุทธวจนะที่นำสืบต่อกันมาทางสายเถรวาทนี้ได้พยายามรักษาของเก่าดั้งเดิมไว้ทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลงอะไร
ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทนี้ในปัจจุบันก็มีอยู่คือ ประเทศไทย ประเทศลังกา ประเทศพม่า ประเทศลาว ประเทศกัมพูชา รวม ๕ ประเทศด้วยกัน ส่วนประเทศที่นับถือศาสนาฝ่ายมหายานนั้นก็ได้แก่ ธิเบต ญวน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี จำนวนก็จะพอๆ กัน แต่ว่าวิธีการทางฝ่ายมหายานนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้มีการแต่งตำราขึ้นมาใหม่บ้าง ดัดแปลงของเก่าบ้าง และก็มีวิวัฒนาการไปไกลมาก ถึงขนาดญี่ปุ่นในปัจจุบันนี้ ภิกษุเกือบจะทุกนิกายก็มีครอบครัวได้ มีภรรยาได้ ก็คงจะมีอยู่บางนิกายเท่านั้นที่ไม่มีครอบครัว นี่ก็เป็นวิวัฒนาการของฝ่ายมหายาน แต่ในฝ่ายเถรวาทซึ่งท่านใช้ภาษาบาลีเป็นหลักนั้นยังพยายามรักษาแบบแผน จะเรียกว่าเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรือคอนเซอร์เวตีฟก็ได้
เมื่อพระพุทธองค์ใกล้จะดับขันธ์ปรินิพพาน ได้ทรงบอกกับพระอานนท์ไว้ว่า ... อานนท์ ในกาลข้างหน้า ถ้าสงฆ์ต้องการจะ "เพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อย" ก็จงเพิกถอนเถิด...
แต่หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว...
พระภิกษุกลุ่มหนึ่งมีความเห็นที่จะไม่เปลี่ยนแปลงสิกขาบทต่างๆ โดยยึดคำสั่งสอนจากการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกเป็นหลัก เพื่อรักษาความถูกต้องดั้งเดิมให้แก่คนรุ่นหลัง
กลุ่มนี้คือ เถรวาท
พระภิกษุอีกกลุ่มหนึ่งเห็นว่าควรมีการเพิกถอนสิกขาบทได้ตามพุทธดำรัส ทำให้มีการเพิกถอนสิกขาบทต่างๆนานา เกิดนิกายมากมาย
บางนิกายถึงขั้นให้ภิกษุแต่งงานได้
กลุ่มนี้คือ มหายาน
____________________________________
กุสีตัสสะ อนุปปันนา เจวะ อกุสลา ธัมมา อุปปัชชันติ
อุปปันนา จ กุสะลา ธัมมา ปริหายันติ
เมื่อบุคคลเกียจคร้านแล้ว
อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น
และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมไป
เอกนิบาต 20/11
เครื่องวัดความก้าวหน้าปี 49
ดูว่าโกรธน้อยลงไหม - เอาแต่ใจตัวน้อยลงไหม
เป็นสมาธิได้แบบไม่โลภไหม - ระหว่างวันเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตอยู่เรื่อยๆไหม
...........................................
เราปฏิบัติไม่ใช่เอาดี ไม่ใช่เอาสุข ไม่ใช่เอาสงบ ไม่ใช่เอาเที่ยง -พระอ.ปราโมทย์ ปาโมชโช
ผมว่าเหตุการณ์ที่ได้แบ่ง เถรวาท กับ มหายาน(อาจริยวาท) ชัดเจนที่สุดน่าจะอยู่ที่
คัมภีร์ กถาวัตถุ
พระอภิธรรมปิฏก คัมภีร์ที่ ๔
ในร้อยแห่งปีที่ ๒ (คือ ภายในพระพุทธศักราช ๒๐๐ ปี) อาจริยวาท (ลัทธิแห่งอาจารย์) ทั้งหมดรวม ๑๘ นิกาย คือ ๑๒ นิกายที่แยกมาจากเถรวาทเหล่านี้ และนิกายอาจริยวาท ๖ (ที่แตกแยกมาจากตระกูลอาจารย์มหาสังฆิกะทั้งหลาย) ฉะนี้แล ฯ
คำว่า นิกาย ๑๘ นิกายก็ดี ตระกูลอาจารย์ ๑๘ ตระกูลก็ดี เป็นชื่อของนิกายที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น นั่นแหละ ฯ อนึ่งบรรดานิกาย ๑๘ นิกายเหล่านั้น ๑๗ นิกายบัณฑิตพึงทราบว่า เป็นนิกายที่แตกแยกกันมา ส่วนเถรวาท บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นนิกายที่ไม่แตกกัน ฯ
พระราชาผู้ทรงธรรม