คำให้การของ บรรณาธิการ Pai Post คนใหม่ : EDITOR TALK


ผมเองเคยจะไปทำงานที่กรุงเทพฯ ในหลายครั้งที่มีงานที่สนใจ แต่ตัดสินใจไม่ไปครับ อยู่บ้านเรา ทำงานบ้านเราดีกว่า

 

ที่เมืองปายมีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอยู่ฉบับหนึ่ง และหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เองที่ผมชอบอ่านประจำ เพื่อติดตามความเป็นไปของเมืองปาย  แทบไม่น่าเชื่อว่า เมืองเล็กๆกลางหุบเขา ผมไม่ทราบความเป็นไปของ "ปาย" เท่าที่ควรจะเป็น

ด้วยภาพลักษณ์ของ หนังสือพิมพ์ที่สวยงามและศิลปะ นอกจากจะได้อ่านข่าวที่ทันเหตุการณ์ ผมยังชอบภาพที่นักข่าวถ่ายไว้ข้างในเล่ม

วันนี้ผมอ่าน  EDITOR  TALK แล้วน่าสนใจ และมีประโยคบางอย่างที่ผมรู้สึกว่า สิ่งสำคัญที่สุดของคนหนึ่งคน คือ ความสุขหาใช่เม็ดเงินที่ได้รับ

ผมเองเคยจะไปทำงานที่กรุงเทพฯ ในหลายครั้งที่มีงานที่สนใจ แต่ตัดสินใจไม่ไปครับ อยู่บ้านเรา ทำงานบ้านเราดีกว่า เงินน้อยกว่า แต่มีความสุข สุขภาพดีกว่าเยอะเลย

ลองอ่านดูครับ


 

EDITORIAL

<p class="MsoNormal"><span style="font-size: 12pt; font-family: Verdana; color: black">As we were putting this issue to bed we were also closing negotiations with a new full-time editor for the Pai Post. We’ll tell you more about our new staff member when he takes the editor’s seat in November, but suffice to say he had more than a few options to choose and we’re glad he chose us.<br><br> When <strong>Suksawat</strong> apologized for the meagre salary we were offering, our editor-to-be declared that the prospect of living in Pai added intangible value to the package. He emphasised his point by saying, <strong style="background-color: #ffff99">‘It’s not like I want to live in Bangkok, make 10 times as much, spend 10 times as much, and breathe smog!’</strong><br><br> We are fortunate that Pai has that appeal, as without it, we might not be able to afford a full-time editor. And hopefully get the Post into your hands at a more regular pace! </span></p>  <p class="MsoNormal"><strong><span style="font-size: 12pt; font-family: Verdana; color: black">Pai</span></strong><strong><span style="font-size: 12pt; font-family: Verdana; color: black">,Thailand</span></strong></p><hr width="100%" size="2"><p class="MsoNormal"> </p>  <p class="MsoNormal"><strong><span style="font-size: 11.5pt; font-family: Tahoma; color: black">บทบรรณาธิการ</span></strong><span style="font-size: 11.5pt; font-family: Tahoma; color: black"></span></p>    <p class="MsoNormal"><span style="font-size: 11.5pt; font-family: Tahoma; color: black">ขณะที่เราทำการปิดต้นฉบับนี้นั้น เราได้ปิดการเจรจากับผู้ร่วมงานคนใหม่ที่จะมาดำรงตำแหน่งบรรณาธิการ<strong>ปายโพสต์</strong> โดยเราจะแนะนำให้คุณรู้จักกับสมาชิกใหม่ของเราอีกครั้งเมื่อเขาเข้ามานั่งในตำแหน่งบรรณาธิการในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งในความจริงแล้วเขาเองมีตัวเลือกอยู่หลายแห่ง และเราดีใจที่เขาเลือกที่จะร่วมงานกับเรา</span><span style="font-size: 11.5pt; font-family: Tahoma; color: black"><br><br><strong><span>สุขสวัสดิ์</span></strong><span>ได้กล่าวถึงเรื่องของเงินเดือนอันน้อยนิดที่จะได้รับในตำแหน่งบรรณาธิการว่า การได้ใช้ชีวิตอยู่ในปายนั้นถือเป็นส่วนเสริมอันหาค่าไม่ได้ที่จะได้รับเพิ่มเติมเข้ามา เขายังเน้นให้เห็นถึงความหมายของเขาด้วยคำพูดที่ว่า </span><strong><span style="background-color: #ffff99">“มันไม่เหมือนกันกับการที่ผมอาศัยอยู่ในกรุงเทพซึ่งมีรายได้มากกว่าที่นี่ 10 เท่า แต่ก็มีค่าใช้จ่ายมากขึ้น 10 เท่าเช่นกัน แถมยังต้องหายใจสูดหมอกควันเข้าไปด้วย”</span><br></strong><br><span>พวกเราโชคดีที่ปายไม่ได้เป็นอย่างนั้น มิเช่นนั้นเราคงไม่สามารถจะมีบรรณาธิการประจำได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะส่งหนังสือพิมพ์ถึงมือของผู้อ่านได้บ่อยครั้งมากขึ้น</span></span></p><p class="MsoNormal"> </p><hr width="100%" size="2"><p class="MsoNormal"><strong>ข้อมูลและภาพบางส่วน</strong> จาก <strong>หนังสือพิมพ์ ปายโพสต์ </strong></p>  <p class="MsoNormal"><strong><span style="font-size: 11.5pt; font-family: Tahoma; color: black">เมืองปาย,ประเทศไทย</span></strong></p><p class="MsoNormal"><font color="#0000ff"><strong><span style="background-color: #ccffff">วันที่ ๑๕ - ๑๖ พ.ย.๔๙</span> </strong>จะมีเทศกาล<strong style="background-color: #ffff99">ดนตรีและศิลปะ</strong><span style="background-color: #ffff99">  @ </span><strong style="background-color: #ffff99">เมืองปาย</strong></font></p><p class="MsoNormal"><font color="#0000ff"><strong>Pai ...Heaven on  Earth  </strong>เชิญชวนมาเที่ยวกันครับ </font></p>
หมายเลขบันทึก: 56239เขียนเมื่อ 29 ตุลาคม 2006 08:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:36 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)
สวัสดีค่ะ อ่านแล้วคิดถึงตัวเองเมื่อ 15 ปีก่อนหลังจากเรียนจบในกรุงเทพฯ สอบได้ที่ตลาดหลักทรัพย์ อนาคตน่าจะรุ่งในเมืองหลวงแต่ภายใน ครึ่งคืนตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋ากลับบ้านนอก...ไม่รอแม้แต่วันเดียวมุ่งหน้าหางานที่บ้านเกิด....ถึงวันนี้....ชีวิตก็ไม่เลิศหรู....แต่สุขสบายดี...มีที่ออกกำลังกายกว้างๆ....มีท้องฟ้า....มีทะเล...และมีเธอ....คิก ...คิก...

เป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวมากครับพี่  เมตตา ว่าแต่พี่มีจุดมุ่งหมายในใจคืออะไรในตอนนั้น ที่ถามเพราะผู้ที่จบใหม่ อาจอยากจะทำงานที่มีอนาคต(ตามที่คิด) ในเมืองหลวง

เมื่อทำงานสักระยะหนึ่งแล้วค่อยเลือกทางที่ตนเองชอบอีกครั้ง (มาตรฐานของผมนะ)

แต่ผมยังยืนยันว่า เงินไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต ตามบันทึกนี้ครับ 

 

มีเรื่องเล่าสนุกจากคนในกรุ๊ปทัวร์ต่างประเทศหนึ่งที่ตั้งใจมาเที่ยวกรุงเทพฯค่ะ...

ทัวร์มาลงตอนสายๆ....พอรับจากสนามบินเข้ากรุงเทพฯ รถติด จน 11 น ไกด์บอกว่า กินข้าวกันก่อนเถอะนะไปเที่ยวไม่ทันแล้ว...ร้านอาหารอยู่ข้างหน้าโน่น แล้วก็พาลูกทัวร์เดินลงรถไปกินข้าว พอลูกทัวร์กินข้าวเสร็จ รถก็วิ่งมาถึงหน้าร้านพอดี ...เอ้า ก็เอาลูกทัวร์ขึ้นรถ...รถก็ติดมาก...จน 15 น. ไกด์ก็บอกว่า เข้าที่พักเถอะนะไปเที่ยวไม่ทันแล้ว...แล้วก็พาไปเข้าโรงแรม...หมดไปหนึ่งวัน....

เล่าเรื่องขำขันไม่ค่อยเป็นน่ะ...อย่างไงก็ช่วยๆ หัวเราะหน่อยนะคะ...

เป็นเรื่องเล่าที่เคล้าความจริงได้อย่างดี เลยครับอาจารย์ันทรรัตน์ ครับ

เชียงใหม่ของเรา ก็ใกล้จะเป็นแบบกรุงเทพทุกขณะแล้ว โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เป็นช่วงไฮซีซั่น และงานพืชสวนโลก คงไม่ต้องพูดถึงบรรยากาศ การใช้รถใช้ถนนนะครับผม

 

ค่ะ..เชียงใหม่เมื่อวานนี้รถติดหนึบหนับค่ะ ...ใครที่เอารถมาเชียงใหม่เองเพื่อชมพืชสวนโลก ควรศึกษาเส้นทางและจะให้ดี เอารถไปจอดตามจุดบริการเช่นสนามกีฬาเจ็ดร้อยปี สถานีรถไฟแล้วขึ้นรถบริการติดแอร์ไปดีกว่าค่ะ..ประหยัดน้ำมันและได้ดูเชียงใหม่เต็มๆตาด้วยค่ะ

เรื่องกรุ๊ปทัวร์นั้น ท้ายสุดคนถามก็เลยถามลูกทัวร์ว่า แล้วคุณได้เห็นอะไรในกรุงเทพไหม ลูกทัวร์ตอบว่า โอ..สวยมากๆ ยอดพระปรางค์ประดับไฟก็สวย ถนนประดับไฟก็สวย การประดับไฟตามร้านก็สวย...อาหารในเรือล่องเจ้าพระยาก็อร่อย..เห็นกรุงเทพฯทั้งสองฝั่งเลย...หนังฉายในรถก็สนุก...

สรุปคือนั่งรถเที่ยวดูไฟกลางคืนแทนค่ะ...^___^

คุณเอกคะ

  • ด้วยความเป็นเจ้าบ้าน
  • วันนี้ไปยืนต่อคิวซื้อบัตรเข้าชมงานพืชสวนโลก
  • บัตรขายที่โรบินสันแอร์พอต
  • เข้าคิวตั้งแต่เวลา 12.47  ได้ซื้อบัตรเวลาเกือบบ่ายสามโมง  นี่ถ้าไม่เพื่อชาตินะ  ไม่รอขนาดนี้แน่  นี่ยังสังหรณ์ในว่าวันงานจะขนาดไหน...บรื้อ ออออออ....(ร้อนไม่ใช่หนาวอ่ะ

  • แต่อย่างไรก็ตามเชียงใหม่ก็ยังมีมุม มีมนต์ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเที่ยวตามสถานที่เป็นธรรมชาติอยู่  ยังมีอยู่อีกเยอะค่ะคุณเอก
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร

คุณ   sompornp ครับ

ผมเชื่อครับ...เรื่องมนต์ขลังของเชียงใหม่  อำเภอนอกๆออกไปน่าอยู่มากครับ 

ผมเป็นลูกครึ่งครับ เชียงใหม่ กับเมืองปายครับ 

ไม่อยากนึกถึงบรรยากาศที่มีรถติด หรือต้องรออะไรนานๆ ผมคิดว่า รอตั้งแต่ 12.47  ได้ซื้อบัตรเวลาเกือบบ่ายสามโมง นี่นานเกินไปหน่อยครับ

มีความอดทนมากเลยครับ  :)

 

คุณเอกครับ

  • ไม่อยากเข้าคิวรอหรอกครับ
  • แต่เพื่อแม่ทางกรุงเทพฯ ตาจ๋า ยายจ๋า และญาติ ๆ คุณเอกจะไม่ให้พี่รอหรือครับ (มรดกทั้งซอยสำโรงที่สมุทรปราการนะครับ อิอิ)
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร

คุณ   sompornp ครับ

ตามเหตุผลที่บอกมา ก็น่าจะรอครับ ยิ้ม ยิ้ม

....................

ว่าแต่พืชสวนโลก ผมยังไม่ได้ Plan เลยว่าจะเดินทางไปวันไหน คิดว่าจะพาแม่ไปเที่ยวด้วยครับ 

จะให้ซื้อตั๋วให้ด้วยไหมครับ

ถ้าคุณแม่อายุเกิน 60 ก็ลดครึ่งราคา

ราคาตั๋ว  1 วัน สูงอายุ/เด็ก ราคา 50 บาท  ถ้าดูตลอดงานก็ 200 บาท

ราคาตั๋ว 1 วัน ทั่วไป ราคา 100 บาท ถ้าตลอดงาน 400 บาท

ตั๋ว  1 วันต้องระบุวันด้วย  ตอนนี้วันที่ 1 พย 9-10 ธค. เต็มแล้ว (เค้าให้เข้าต่อวัน คือ35,000 คน )

สนใจบอกนะคะ ยินดีค่ะ เผื่อทางปายจะมีห้อง(ฟรี)ว่างช่วงหนาวนี้บ้าง อิอิ....ล้อเล่น....

จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร

คุณ sompornp ครับ

ผมคงต้องปรึกษาแม่ ก่อนครับ ว่าสะดวกวันไหน

แนะนำวันไหนดีครับผม

ผมกำลังคิดว่าวันธรรมดาจะมีกิจกรรมที่น่าสนใจหรือเปล่า ไม่ทราบนะครับ 

มาเที่ยวได้เลยครับ..เมืองปายรออยู่

.............

ข่าวว่าจะมีเครื่องบินจาก ชม. ไป ปาย ใช้เวลา ๒๕ นาที ผมว่าเดินทางด้วยรถดีกว่าได้บรรยากาศกว่ากันเยอะเลย 

เพิ่งเข้ามาอ่าน

ดีใจกับบรรณาธิการที่ได้ค้นพบสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้

 อ่านแล้วนึกถึงโฆษณาหนึ่งที่มีผู้ชาย

เข้าเวรทำงานทุกวันคืน จนล้มป่วย

แล้วนำเงินที่ได้มาซ่อมสุขภาพ

(แต่รู้สึกจะไม่รอด)

จึงเกิดคำถามขึ้น..ใน..ใจ

เราทำงานไปเพื่ออะไร...

แน่นอนว่าเงินเป็นคำตอบแรกๆ ที่คนทั่วไปจะตอบ

แต่นอกจากเงินแล้วเราต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน

ผมเชื่อเช่นนั้น

จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร

ขอบคุณครับ คุณจันทร์เมามาย

นอกจากเงิน(คำตอบของคนทั่วไป)...แล้วเราแสวงหาสิ่งใด หลายคนที่ผมพูดคุยด้วยต่างก็มีวิธีหาสุขแตกต่างกัน

แต่เมื่อเราอยู่ในสภาวะที่ไม่มีทางเลือก หรือ จำเป็น ผมว่าการหาความสุขง่ายๆและดูแลสุขภาพ กาย ใจ จิต ให้ดี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

ผมว่าเราทำดีที่สุดแล้วครับ 

คุณจตุพร

ไม่อยากบอกว่านี่สมเป็นคำตอบของคนโสด (ชาย) ที่ไม่มีอบายมุขจะทำ

ถ้าเป็นคำพูดของคนมีครอบครัวแล้วคำตอบที่ได้ยิน คือ ลูก ครับ

ซึ่งผมได้ยินอยู่ทุกวัน จนเข้าใจว่าพ่อแม่รักลูกมากแค่ไหน (สมองกว่า 50 เปอเซนต์ คิดแต่เรื่องลูก) ถ้าลูกมีความสุขพ่อแม่ก็สุขตามไปด้วย

ความสุขง่ายๆ ตอนนี้ของผม คือ นอนอ่านกองหนังสือที่ตะลุยไปซื้อในงานมหกรรมหนังสือครับ

คืนนี้ขอให้มีความสุขนะครับ

จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร

มีชีวิต ทำงาน เรียนรู้มาระยะเวลาหนึ่ง ไม่นาน ด้วยสถานการณ์ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้์ กับตัวเอง และผู้คนในชนบท ผมบอกได้เลยว่า ได้ต่อสู้ตลอดเวลา

ก็เหมือนกับเป็นตัวเร่งให้เห็นความจริงในการอยู่มากขึ้นครับ ความสุขที่แท้จริงสำหรับคน ไม่มีอะไรที่แน่แท้ และยั่งยืนเท่ากับการมีสุขในใจ

ชีวิตหนึ่งเราเลือกอะไรได้ไม่มากนักหรอกครับ...หากเลือกได้ทุกคนคงเลือกให้ตัวเองได้รับสิ่งที่ดีที่สุด

ด้วยความแตกต่างนี่เองครับ...ทำให้เป็นเงื่อนไขของความทุกข์ที่คนบอกว่าเป็นทุกข์จริงๆ

มันไม่ใช่....แท้จริงแล้ว แก่นของทุกข์อยู่ที่ใจ "อยู่ที่ใจ" ว่าเรามองสรรพสิ่งรอบตัวอย่างไร

เมื่อผมทำงานบนดอย วิถีชีวิตคนบนดอยพวกเขามีความสุขมาก บ้านเพิงเล็กๆ ไม่ค่อยแข็งแีรงเท่าไหร่...มีพ่อแม่ลูก ครอบครัวเล็กๆ กินอาหารธรรมชาติ พืชผักในป่า กินน้ำพริกที่อร่อยมากที่สุดมากกว่าที่ใดๆที่ผมเคยกิน ค่ำลงก็นั่งผิงไฟ เช้าก็ไปไร่

ที่นั่นมีความสุขโดยไม่ต้องพึ่งพาข้างนอกอะไรเลย ...

เป็นหนึ่งของวิถีที่ผมประทับใจ

เมื่อทำงานในองค์กร ผมเบื่อมากที่บางคนไม่ค่อยจริงใจให้กัน มุ่งผลประโยชน์ตัวเองเป็นใหญ่  มีวิธีแสวงหาความสุขที่เป็นความสุขชั่วคราว (ไม่แท้)ในที่สุดก็ทุกข์ด้วยปัจจัยเดิมๆอีก

เห็นวิถีแบบนี้วนเวียน น่าเบื่อหน่ายเสียจริง!!!

นั่นเป็นตัวอย่างของวิถี ๒ วิถีครับ

ผมอยากให้เห็นเรื่องของวิถีคิดของ ๒ วิถี  ว่า "ความสุขอยู่ที่ใจ" ครับ

ผมให้กำลังใจคุณจันทร์เมามาย เช่นกัน 

เมื่อคืนน้องหมอKMsabai โทรมาบอกว่าจะมีงานมหกรรมหนังสือที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เช่นกันครับ น่าจะเป็นปลายเดือน พย.นี้ ผมก็คงไม่พลาดครับ 

ก็เป็นอีกทางเลือกของคนรักหนังสือ 

เรียนรู้ไปด้วยกัน พัฒนาตนเอง ไปด้วยกันครับ 

ขอบคุณครับผม 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท