ชีวิตที่พอเพียง: ๒๐๘๘. โยนิโสมนสิการแผนพัฒนาประเทศ สู่อำนาจปัญญาเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย


 

          ในการสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๒๖ พ.. ๕๖   ซึ่งผมได้บันทึกสาระของการพูดคุยไว้แล้ว ในบันทึกนี้     ทีมของสภาพัฒน์มอบเอกสารเส้นทางประเทศไทยสู่ประชาคมอาเซียน และวารสารเศรษฐกิจและสังคม จำนวนหนึ่ง เป็นการตอบแทน

          ผมเอามาพลิกๆ ดู และถามตนเองว่ากิจการต่างๆ ของสภาพัฒน์ เท่าที่ผมเห็น    จะเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทย ออกจากกับดักรายได้ปานกลาง     และให้ประเทศไทยเข้าสู่สภาพ สังคมเข้มแข็ง ๓ มุมได้ไหม    สังคม ๓ มุม คือสังคมมั่นคง  สังคมสีเขียว  และสังคมวัฒนธรรม ตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ    

          คำตอบคือ ประเทศไทยเรายังขาดกลไกเชิงสถาบันเพื่อการนี้    โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกเชิงปัญญาที่เป็นอิสระจากอำนาจ ทั้งหลาย    สำหรับช่วยเป็นแรงส่งการดำเนินการที่ซับซ้อนและปรับตัว (complex-adaptive) ยิ่ง คือการพัฒนาประเทศ   โดยใช้ อำนาจปัญญา เป็นอำนาจที่ ๔    เพิ่มจากอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และ อำนาจตุลาการ    ในสังคมยุคข้อมูลข่าวสาร อย่างในปัจจุบัน เราต้องการอำนาจปัญญาที่เข้มแข็ง เป็นอิสระ และซื่อสัตย์

          สภาพัฒน์ ไม่อยู่ในฐานะนั้น เพราะเป็นหน่วยราชการ    ผู้บริหารของสภาพัฒน์ต้องประนีประนอมกับนักการเมือง    ผู้มีอำนาจให้คุณให้โทษตนได้    ไม่สามารถทำงานวิจัยแบบวิเคราะห์เจาะลึกตรงไปตรงมา และบอกแก่สังคมแบบไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมได้    คือสภาพัฒน์ยังเป็นกลไกรัฐบาล ไม่ใช่กลไกประเทศไทย    และเก่งยกร่างแผนพัฒนาที่ประนีประนอม    แต่ไม่เก่งเลยในช่วงของการดำเนินการตามแผน

          ผมได้รับแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนพัฒนา ฉบับที่ ๑๑ ด้วย  โดยมี ดร. ณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธาน    ผมมีโอกาสไปประชุมครั้งแรกครั้งเดียว    แล้วไม่ได้ไปอีก   เพราะเขาไม่นัดประชุมล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ    ใช้วิธีนัดตามที่ประธาน สะดวก    นัดทีไรผมไม่ว่างสักที    ตอนไปประชุม ผมเสนอให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (จริงๆ คือสารสนเทศ - information) ที่สื่อสารกว้างขวางได้ และชาวบ้านเข้าใจ    โดยมีดัชนีชุดหนึ่งของ สังคมมั่นคง  สังคมสีเขียว  และสังคมวัฒนธรรม ให้เห็นแนวโน้มความเคลื่อนไหว

          จะเห็นว่า ความเสื่อมโทรมของสังคมไทยในช่วง ๑๐ ปีเศษที่ผ่านมา ในด้านการเมือง ที่ขบวนการมวลมหาประชาชน ออกมาชุมนุมเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศไทย นั้น    ไม่มีสัญญาณจากสภาพัฒน์ออกมาเตือนสังคมเลย  

          และสภาพัฒน์ ไม่ได้จับประเด็นสำคัญหลัก ๒ อย่างตามความเห็นของคุณบรรยง พงษ์พานิชที่นี่ (ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างมาก) คือ เรื่องผลิตภาพกับเรื่องการกระจายรายได้ ขึ้นมาเป็นเป้าหมายหลักของการขับเคลื่อน    

 

          จะว่าสภาพัฒน์ ทำงานไม่ดีก็คงไม่ถูก    เพราะงานหลายอย่างของสภาพัฒน์ ก็ช่วยประสานการเคลื่อนสังคมไทย ไปข้างหน้าอย่างเป็นระบบและอย่างมีสารสนเทศสนับสนุน   เพียงแต่ว่ายังขาดงานส่วนที่เป็นการจัดทำสารสนเทศเชิงลึก และเป็นวิชาการมากๆ    โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบที่ไม่เข้าใครออกใคร    ซึ่งเป็นบทบาทสร้าง อำนาจปัญญาให้แก่สังคมไทย

 

          ที่จริงเรามีสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)    มี วช., สวทช., สวรส., สกว., สวก., สวทน.   แต่ยังไม่มีการใช้พลังของหน่วยงานเหล่านี้อย่างเต็มที่    ไม่มีการพัฒนานักวิจัยระดับยอดอย่างจริงจังและเป็นระบบ    ไม่มีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนอย่างที่แถลงนโยบาย    กล่าวได้ว่านโยบายรัฐบาลในเรื่องสนับสนุนการวิจัยนั้น ในช่วง ๒๐ ปีที่ผ่านมา เป็นนโยบายประเภท ดีแต่ปาก”    ไม่ได้ทำจริงจัง    ในรัฐบาลที่เพิ่งลาออกไปมีรัฐมนตรีที่เข้ามาทำลายระบบการวิจัย ด้วยซ้ำ     

 

          ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่มีระบบอำนาจปัญญาที่เข้มแข็ง เป็นอิสระ และซื่อสัตย์    ประเทศไทยจะพัฒนายกระดับขึ้นไป ได้ยาก หรือไม่ได้เลย

          การปฏิรูปประเทศไทย ต้องคำนึงถึงการสร้างระบบปัญญาของประเทศ

 

 

วิจารณ์ พานิช

๕ ม.. ๕๗

 

 

หมายเลขบันทึก: 560639เขียนเมื่อ 31 มกราคม 2014 08:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 มกราคม 2014 08:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท