"ปัญหา.. การเผยแผ่ธรรมะในปัจจุบัน"


                                   “ปัญหาเกี่ยวกับการใช้ภาษาเพื่อการเผยแผ่ธรรมะในยุคปัจจุบัน”

บทคัดย่อ

               งานวิจัยนี้ เป็นการศึกษาปัญหาเกี่ยวกับการใช้ภาษาเพื่อการเผยแผ่ธรรมะในยุคปัจจุบันโดย ศึกษาร่องรอยปัญหาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ว่ามีผลต่อปัจจุบันอย่างไร เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาในอนาคต การศึกษาการวิจัยนี้ เป็นการศึกษาเชิงวิจัยเอกสาร (Documentary Research) และการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง ๓ กลุ่มคือ ประชาชนที่เข้าร่วมปฏิบัติธรรมเป็นประจำของวัดเพลง และนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ๒ แห่ง ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้อยู่ในเขตภาษีเจริญ และพระนิสิตระดับปริญญาตรี โท และเอก ของมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

                ทั้งนี้ก็เพื่อให้เห็นความแตกต่างในการรับข้อมูล และการสื่อสารในเรื่องภาษา ปัญหาในการสื่อสารของทั้งสองฝ่ายคือ ทั้งพระสงฆ์ และฆราวาส เมื่อศึกษาแล้วผู้วิจัยได้นำข้อมูลมาประมวลวิเคราะห์ เชิงสถิติ โดยใช้ค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Means) เพื่อช่วยในการประเมินผลตามขั้นตอนจากการศึกษาปัญหาพบว่า

                ๑. ในสมัยก่อนพุทธกาล อิทธิพลของพราหมณ์มีพลวัตต่อวิถีชีวิตของผู้คนยุคนั้นมากเครื่องมือในการ สื่อความหมายและเจตนาจากมนุษย์ไปสู่เทพคือ ภาษาสันสกฤต โดยมีพราหมณ์เป็นเจ้าพิธีกรรม ต่อมาภาษานี้เอง กลายเป็นภาษาของวรรณะชนชั้นสูงไป ส่วนภาษาที่ชาวบ้านพูดกันคือ ภาษาปรากฤต หรือภาษาตามแคว้นในถิ่นของตน ผู้คนจึงถูกกีดกัน ถูกแบ่งชั้นขึ้น กลายเป็นภาษาสองระดับคือ ภาษาระดับชนชั้นสูง และภาษาระดับชาวบ้าน แต่เมื่อมาถึงยุคพุทธกาล พระองค์ทรงเข้าใจในบริบททางสังคมเหล่านี้ดีว่า แท้จริงแล้วมิใช่พระพรหมหรือเทพใดที่คอยลิขิตโชคชะตาให้เป็นไป แต่เกิดมาจากพวกพราหมณ์นี่เองกำหนดขึ้นมา

              ดังนั้น พระองค์จึงกำหนดวิธีการเผยแผ่ธรรมะที่แตกต่างจากพราหมณ์ โดยอาศัยภาษาชาวบ้าน (ภาษาปรากฤต) ในการเผยแผ่ธรรมะด้วยเหตุผล ๓ อย่าง ที่เป็นองค์ประกอบในการเผยแผ่คือ

                          ๑) จากอิทธิพลของพราหมณ์

                          ๒) ด้วยการใช้ภาษาชาวบ้าน

                          ๓) ด้วยคุณสมบัติเดิม (กษัตริย์) และคุณสมบัติที่พระองค์ตรัสรู้ ทำให้พระองค์ได้พบวิธีการเผยแผ่ในรูปแบบใหม่

               ถึงกระนั้น ด้วยความแปลกใหม่ จึงทำให้ผู้คนสงสัยเนื้อหาธรรมและวิธีการใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่พราหมณ์ยังเกิดความอยากรู้อยากเห็น เมื่อมีปัญหาในครั้งนั้น ปัญหาทุกอย่างพระองค์ทรงแก้ไขได้ แต่ภายหลังพุทธปรินิพพาน ปัญหากลับเริ่มเห็นเป็นรอยแยกด้านทัศนะต่างกันอย่างชัดเจน และก็กลายเป็นปัญหาที่ทับถมเรื่อยมา จนกลายเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยกนิกายขึ้น ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า ไม่มีใครตัดสินเรื่องคำสอน และภาษาพุทธพจน์ได้อย่างหมดจดนั่นเอง

               ๒. ครั้นเมื่อสาวกได้รวบรวมหลักธรรมคำสอน โดยการทำสังคายนามาหลายครั้ง จนกลายเป็นพระไตรปิฎก จากการท่องจำ ก็กลายมาเป็นการจดบันทึกเป็นภาษามคธหรือภาษาบาลีจากยุคสู่ยุค จากการท่องจำ รุ่นแล้วรุ่นเล่า ผ่านวันเวลาที่เนิ่นนาน ทำให้เนื้อหา หลักการคำสอนเหล่านั้น เกิดผิดเพี้ยน เกิดข้อสงสัยว่า ภาษาที่บันทึกกับเนื้อหาที่ถูกบันทึกนี้ เป็นพุทธพจน์จริง ๆหรือไม่ แม้แต่ปัจจุบันมีคนสงสัยมากว่า พระไตรปิฎกเป็นพุทธพจน์หรือไม่ เพราะจากการสังคายนา การจดจำ การรวบรวม ได้ผ่านกาลเวลามานาน ความบกพร่องย่อมเกิดขึ้นได้

                นอกจากนั้นเกิดการแต่งคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา เพื่ออธิบาย ขยายเนื้อหา ภาษา ให้เข้าใจมากขึ้นซึ่งก็เป็นเหตุให้เกิดการสวมรอยของอรรถาจาย์เข้าไปด้วย จนกลายเป็นการบิดเบือนไปก็มี เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีผลต่อการตีความ การขยายความจึงต้องอาศัยฐานอรรถาจารย์เหล่านี้เป็นหลัก เกิดการถกเถียงกันมากขึ้นในเนื้อหา และภาษาของพระองค์

                จนในขณะปัจจุบัน พระสงฆ์ที่ออกไปเผยแผ่ธรรมะยังไม่มีความรู้ ไม่แตกฉานในหลักเท่าที่ควร ไม่รู้นิรุตติปฎิสัมภิทาเพียงพอ (เชี่ยวชาญด้านภาษา) ไม่รู้จักการวิเคราะห์บริบทผู้ฟัง ไม่รู้จักการถ่ายทอดในรูปแบบวิทยาการโลกยุคใหม่ การเทศน์ การบรรยายยังคงใช้ภาษาเก่า ๆ เดิม ๆ ตามจารีตประเพณี ทำให้เกิดปัญหาในการเผยแผ่ธรรมะ ในขณะที่พุทธศาสนิกชนไทย เกิดปัญหาการไม่เข้าใจภาษาธรรมะนี้ด้วย ซึ่งพอสรุปปัญหาได้ดังนี้ปัญหาหลักที่พบกับชาวพุทธคือ

               ๑) ขาดกิจกรรมที่จะส่งเสริมให้เกิดปัญญา

               ๒) ไม่รู้ภาษาบาลีดีพอ

               ๓) ไม่เข้าใจความหมายที่พระสงฆ์สื่อ

               ๔) คนไทยใช้ภาษาไทยผิดเพี้ยน ขาดความจริงใจต่อกัน

               ๕) ชาวบ้านได้รับรู้คำ และความหมายของศัพท์มาจากสื่ออย่างผิด ๆ

             ปัญหาหลักที่พบจากพระสงฆ์คือ

                       ๑) พระมีโอกาสเทศนาน้อย

                       ๒) พระสงฆ์ขาดประสบการณ์และขาดความมั่นใจ

                       ๓) ขาดความรู้วิทยาการสื่อสารยุคใหม่

                       ๔) ไม่เข้าใจหลักธรรมอย่างลึกซึ้ง

                       ๕) ขาดความรู้ด้านภาษายุคใหม่ เช่น ภาษาอังกฤษ

             ๓. การเผยแผ่ธรรมะที่ไม่ได้ผลเท่าที่ควรนั้น ย่อมเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ

            ปัจจัยที่เป็นสาเหตุในการเผยแผ่ธรรมะที่ไม่ประสบผลสำเร็จทั้งอดีตและ ปัจจุบัน สืบเนื่องมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้

                     ๑) เรื่องการศึกษาพบว่า ไม่ว่า อดีตและปัจจุบัน เป็นปัญหาขั้นพื้นฐานในการเข้าใจธรรมชาติ ตัวเอง และหลักศีลธรรม

                     ๒) เรื่องภาษา พบว่า ในอดีตและปัจจุบัน การใช้ภาษามีความแตกต่างกัน ในอดีตมีภาษาที่ใช้ในกลุ่มย่อยมากมาย แต่ละที่ แต่ละเผ่ามีภาษาของตัวเอง การสื่อสารต่างที่ ต่างถิ่นจึงเป็นปัญหา  ส่วนในปัจจุบัน โลกแคบลงการสื่อสารก็ง่ายขึ้น แต่ภาษากลับเป็นอุปสรรคในการบอกกล่าวหรือแสดงเจตจำนงของตนเองให้แก่ผู้อื่น เข้าใจ อีกทั้งผู้คนก็เดินทางไปมาหาสู่กันทั่วโลก การเผยแผ่ธรรมะหากไม่เข้าใจภาษาท้องถิ่นอื่นก็ประสบผลสำเร็จยาก

                     ๓) เรื่องการถ่ายทอดด้วยวิธีการในรูปแบบใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ แม้เนื้อหาธรรมจะดีแค่ไหนแต่วิธีการถ่ายทอดไม่ชัดเจน ย่อมเกิดปัญหาการเข้าใจได้ วิธีการนี้จะนำมาซึ่งความสนใจ เมื่อคนสนใจวิธีการ เนื้อหาธรรมก็น่าสนใจตามมาด้วย

                     ๔) เรื่องทัศนคติ การเผยแผ่ธรรมะ เบื้องต้นหากผู้ฟังหรือผู้รับมีทัศนคติที่เอนเอียงหรือไม่ชอบขึ้นมา ย่อมจะตั้งแง่ต่อต้าน เหมือนพวกพราหมณ์ในครั้งพุทธกาลที่ไม่ชอบวิธีการเผยแผ่ของพระพุทธเจ้า จึงกลายเป็นปัญหาได้

                     ๕) เรื่องเทศะ คือ ท้องถิ่นแต่ละที่อาจจะไม่เหมาะในการเผยแผ่ธรรมะเช่น สถานที่มีสงคราม ที่แห้งแล้ง สถานที่มีศาสนาอื่น ๆ ที่เคร่งครัด ย่อมเกิดปัญหาในการเผยแผ่ธรรมะได้

                     ๖) เรื่องวัยและเพศ ย่อมเกิดปัญหาได้ เด็กอาจจะยังไม่พร้อมที่รับธรรมที่ยาก คนแก่เกินไปก็ยากที่ฟังรู้เรื่อง ในขณะผู้เผยแผ่เป็นพระสงฆ์ ที่ใกล้ชิดสตรีมากไป อาจจะกลายเป็นปัญหาเรื่องชู้สาวได้

             ๔. แนวทางในการแก้ไขปัญหาเรื่องภาษาในการสื่อสารธรรมะ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้คือ

                        ๑) ศึกษาเรื่องภาษาธรรมะของตนเองให้แตกฉาน ในขณะเดียวกันควรศึกษาภาษาท้องถิ่นที่ตัวเองจะไปยังถิ่นที่นั้น ๆ ให้เข้าใจบ้าง

                       ๒) ศึกษาเรียนรู้บริบททางสังคมให้กว้าง เพื่อจะได้มองเห็นทัศนคติ พฤติกรรมของสังคมนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไร

                       ๓) ศึกษาเรียนรู้วิธีการสื่อสาร วิทยาการโลกยุคใหม่ให้ทัน เพื่อปรับประยุกต์ในการนำเสนอ

                       ๔) ปรับปรุงภาษาในการถ่ายทอดให้เป็นภาษาง่าย ๆ ที่บุคคลทั่วไปเข้าใจ

              นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากบุคคลที่ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์ ให้คำแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังนี้

                       ๑) กลุ่มพระสงฆ์แนะนำว่า ผู้เผยแผ่ธรรมะ ควรศึกษาเรียนรู้ให้มาก รู้ทันโลกยุคใหม่ และใน ขณะเดียวกัน ควรปฏิบัติธรรมให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริงด้วย

                       ๒) กลุ่มนักวิชาการแนะนำว่า ควรหาทางสร้างสรรค์ในการทำงานร่วมกันอย่างมีระบบที่ชัดเจน มีการจัดระบบการบริหาร การจัดการ การประเมินผลงานด้วย

                       ๓) ส่วนกลุ่มนักเรียนให้ข้อเสนอแนะว่า ควรนำเสนอธรรมสู่สาธารณชนในรูปแบบบันเทิง ผู้เผยแผ่ธรรมะควรใช้ภาษาที่ง่าย อยู่ในโลกความเป็นจริง และควรใช้ภาษาที่ร่วมสมัยด้วย

              ดังนั้น หวังว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านการเผยแผ่และผู้สนใจด้านธรรมะอยู่คงพอมองเห็นปัญหาและเส้นทางของสังคมว่ากำลังเผชิญอยู่และช่วยกันหาทางแก้ไขต่อไป

------------------<>-------------------

หมายเลขบันทึก: 556623เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2013 08:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 ธันวาคม 2013 10:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

เห็นด้วยค่ะ :):) ขอบคุณค่ะ

แก้ยากอยู่ด้วยมีมิจฉาทิฐิ

ชอบอ่านบันทึกแนวๆ นี้นะคะ แต่ต้องใช้เวลาหน่อยค่ะ

สำหรับวันที่ว่างๆ ได้จองคิวไว้กลับมาอ่านค่ะ

ขอบคุณค่ะ

..... ขอบคุณค่ะ ... การสือสาร นั้นสำคัญจริงๆค่ะ .... การแก้ไขปัญหาเรื่อง...ภาษาในการสื่อสารธรรมะ .. จึงยากจริงๆค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท