สิบสองวันในอินเดีย(๖)


(คลิกบนภาพเพื่อดูภาพขยายใหญ่ขึ้น)

..หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่วัดไทยสิริราชคฤห์เรียบร้อยแล้ว เราเดินทางไปที่ ตโปธราม สายธารน้ำร้อนที่เชื่อกันว่ารักษาโรคได้ ชาวเมืองมาอาบน้ำตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสารก็เคยมาสรงน้ำที่นี่ และทำให้เกิดพุทธบัญญัติที่ห้ามอาบน้ำก่อนครบ ๑๕ วัน เนื่องจากพระองค์มาสรงน้ำที่ตโปธารามแต่พบพระสงฆ์กำลังสรงน้ำอยู่พระองค์ก็รอคอยจนประตูเมืองปิด พระองค์ทรงเคร่งครัดในคำสั่งมาก  เวลาปิดเปิดประตูนั้นจะเปิดปิดตามเวลา พระองค์ก็เลยต้องบรรทมนอกพระนคร เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบจึงกำหนดบัญญัติสิกขาบท  

        ปัจจุบันตโปธารามถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู ซึ่งมาอาบน้ำชำระบาปตามความเชื่อ...การอาบน้ำจะแบ่งตามวรรณะ  วรรณะสูงจะอยู่ชั้นบนและลดหลั่นกันลงมาตามระดับจนถึงระดับล่าง...

...ที่คุมขังพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสถานที่พระเจ้าอชาติศัตรูพระโอรสนำพระราชบิดามาอยู่ที่คุกนี้ตามคำยุยงของพระเทวทัต พระเจ้าพิมพิสารถูกทรมานเพื่อให้สวรรคต มีเรื่องเล่าว่าพระองค์ทรงมีจิตใจที่อิ่มเอิบ  เนื่องจากพระองค์สามารถมองเห็นจีวรสีเหลืองของพระพุทธเจ้าที่อยู่บนยอดเขาคิชกูฏ ทำให้พระองค์สวรรคตอย่างสงบ ณ สถานที่แห่งนี้...

 

...ชีวกัมพวัน "สวนมะม่วงของหมอชีวก" หลังจากหมอชีวกได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์จนบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว ได้มีจิตศรัทธาถวายสวนมะม่วงของตนให้เป็นอารามและเป็นโรงพยาบาลสงฆ์...

 

...บ่ายคลายร้อนแล้วได้เวลาที่เราจะขึ้นเขาคิชกูฏเพื่อไปสักการะพุทธสถานที่สำคัญ..ตามถนนพระเจ้าพิมพิสาร ระยะทางประมาณ ๙๐๐ เมตร เส้นทางลาดชันเล็กน้อยเดินได้อย่างสบาย ๆ ระหว่างทางจะมีสถานที่สำคัญคือมัททกุจิ เป็นสถานที่พระนางโกศลเทวี พระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ตัดสินใจจะทำลายพระโอรสในพระครรภ์ ตามคำทำนายที่ว่าพระโอรสจะทำปิตุฆาต แต่ไม่สำเร็จตามความประสงค์ พระโอรสคือพระเจ้าอชาตศัตรู ในเวลาต่อมา..บนถนนเส้นนี้ยังมีเหตุการณ์ที่พระเทวทัตกลิ้งหินลงมาเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า..ก่อนจะถึงยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของพระคันธกุฎี  ก็จะพบ "ถ้ำพระโมคคัลลานะ" "ถ้ำสุกรขาตา"หรือถ้ำคางหมู ที่พระสารีบุตรได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขณะถวายงานพัดให้พระพุทธเจ้าที่กำลังทรงแสดงธรรมให้กับทีฆนขปริพพาชก หลานของพระสารีบุตร..จากนั้นก็จะมีบันไดขึ้นสู่ยอดเขาที่ตั้งพระคันธกุฏี ซึ่งจะพบกุฏิพระอานนท์ ก่อนที่จะถึงพระคันธกุฎี

 

...พระอาจารย์นำสวดมนต์และนั่งสมาธิภาวนา  พร้อมกับเดินเวียนเทียนรอบพระคันธกุฎี ปิดทองพระคันธกุฎีและที่กุฏิพระอานนท์..ได้เวลาพระอาทิตย์อัสดงพอดีเราก็เดินทางกลับที่พัก..

 

.......

...บนเขาคิชกูฏใกล้ ๆ พระคันธกุฎี จะมีสถูปขนาดใหญ่ ก่อสร้างโดยพระเถระชาวญี่ปุ่น ซึ่งจะใช้กระเช้าขึ้นสู่พระสถูปองค์นี้..มีคนเข้าคิวเพื่อขึ้นกระเช้าเยอะมาก..แต่สำหรับชาวไทยเราจะเดินตามถนนพระเจ้าพิมพิสารขึ้นไปสักการะพระคันธกุฎีเป็นส่วนใหญ่ เพราะสามารถแวะสักการะถ้ำสุกรขาตาและถ้ำพระโมคคัลลานะได้ และระยะทางก็ไม่ไกลมากนัก สำหรับผู้สูงอายุสามารถขึ้นกระเช้าที่มีคนหามขึ้นไปได้ครับ คนละ ๑,๒๐๐ รูปี ครับ

 

......

      ..ค่ำพอดีหลังจากลงจากลงจากเขาคิชกูฏ เรากลับไปพักที่วัดไทยสิริราชคฤห์ พรุ่งนี้เช้าจะเดินทางต่อไปที่นาลันทา ครับ... 

สิบสองวันในอินเดีย (๗) นาลันทา

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ

หมายเลขบันทึก: 556366เขียนเมื่อ 14 ธันวาคม 2013 13:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 ธันวาคม 2013 16:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

เรื่องราวดีดี จากชาวฮินดูนะคะ ขอบคุณค่ะ

สาธุๆๆครับพี่

ไปหลายที่มากๆ

ขอบคุณครับอาจารย์ ดร.Ple อาจารย์ขจิต อาจารย์ชยพร กรุณาแวะมาให้กำลังใจ ครับ

ไม่ทราบว่าตามรอยพระพุทธเจ้า เจ้าบ้านในบริเวณนั้น เขายังนับถือพุทธอยู่หรือเปล่าครับ

ขอบคุณครับ คุณยง ผมไม่ได้ออกไปคุยกับชาวบ้าน(ถ้าออกไปก็คงพูดกันไม่รู้เรื่องมากนัก) แต่เท่าที่ทราบวัดไทยทุกวัดในอินเดีย ได้อนุเคราะห์ชาวอินเดียทุกคนทั่วไป มีสถานพยาบาล แจกเครื่องอุปโภค บริโภคให้กับคนยากจน บางครอบครัวส่งบุตรหลานมาบวชเป็นสามเณร ...

สิบวันในอินเดีย(๗) นาลันทา


ขอบคุณ คุณวิชัย กัลยาณมิตรที่เดินทางไปอินเดีย...ส่งภาพมาให้ขออนุญาตนำมาแบ่งปัน..ภาพที่นาลันทา..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท