กำเนิดรัฐตามแนวอัคคัญญสูตร
การศึกษาเรื่องกำเนิดของรัฐ (Origin of the state)เป็นเนื้อหาที่สำคัญประการหนึ่งของการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ได้พยายามแสวงหาคำตอบให้กับคำถามที่ว่า “รัฐ” กำเนิดมาได้อย่างไรนานนับศตวรรษแล้ว แต่เนื่องจากขาดพยานหลักฐานทางประวัติศาสตร์และทางมานุษยวิทยาอย่างเพียงพอ ทำให้นักรัฐศาสตร์ต้องยอมรับเอาสมมติฐาน (Hypothesis) หลายประการมาใช้ ซึ่งสมมุติฐานบางอย่างเหล่านั้นไม่เป็นที่ยอมรับในบรรดาความรู้สมัยใหม่[๑]
ในบรรดาสมมติฐานเหล่านี้ ข้อคิดเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการน่าเชื่อถือที่สุด สอดคล้องกับความรู้สมัยใหม่มากกว่าสมมติฐานอื่น ๆ รัฐน่าจะกำเนิดมาจากสถาบันครอบครัว ต่อมาได้เติบโตกว้างขวางขึ้น ขยายตัวเป็นวงศ์วาร เผ่าพันธุ์ มีลักษณะนิสัยใจคอเชื่อถือและเชื่อฟังผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสกว่า โดยเริ่มจากการเคารพบิดามารดาจนกลายมาเป็นสถาบันหรือสภาอาวุโสของเผ่าพันธุ์ ทำหน้าที่ปกครองประชาชนที่เป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์นั้น รัฐบาลในความหมายที่เป็นองค์การที่ใช้อำนาจปกครองเริ่มมาตั้งแต่ยุคที่มนุษย์มีลักษณะเศรษฐกิจที่อาศัยเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก และเริ่มใช้หลักกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของเอกชน เศรษฐกิจดังกล่าวก็ดี หลักกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินก็ดี ทำให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีการควบคุมทางสังคมและมีผู้นำ ประมุขในยุคแรก ๆ คือหลักในการสืบสกุล ในระยะหลังเมื่อประชาชนเริ่มมีมากขึ้นจนเกินกว่าอาหารที่มีอยู่ ชนเผ่าเร่ร่อนพเนจรก็เริ่มตั้งหลักแหล่ง ณ ที่อุดมสมบูรณ์ที่อาจเพาะปลูกได้ จนเมื่อเกิดเศรษฐกิจแบบเกษตรกรรม รัฐในความหมายที่มีดินแดนเป็นองค์ประกอบสำคัญก็เกิดขึ้น ดินแดนจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมสนับสนุนให้ความผูกพันทางวงศาคณาญาติ (Kinship) มั่นคงยิ่งขึ้น สงครามและการครอบครองมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดรัฐและรัฐบาล “รัฐจึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ชีววิทยา เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการใช้อำนาจครอบครอง”[๒]
จากการศึกษาค้นคว้าของนักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยา ทำให้พอที่จะทราบได้ถึงพัฒนาการของสถาบันทางการเมืองด้วยวิธีการคาดคะเนถึงการกำเนิดรัฐ ซึ่งมีทฤษฎีต่าง ๆ ที่อธิบายถึงกำเนิดรัฐที่น่าสนใจอยู่หลายทฤษฎีด้วยกัน เช่น
๑) ทฤษฎีสัญญาประชาคม (The Social Contract Theory) ทฤษฎีนี้ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน มนุษย์เป็นผู้สร้างรัฐโดยที่ปัจเจกชนยินยอมพร้อมใจกันทำสัญญาประชาคมให้เกิดรัฐขึ้น และรัฐจะต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของคู่สัญญา คือ ประชาชน นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลของทฤษฎีนี้มีอยู่ ๓ คน คือ โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) จอห์น ล๊อค (John Lock) และ ฌอง ฌาคส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau)
๒) ทฤษฎีเทวสิทธิ์ (The Divine Theory) ทฤษฎีนี้ถือได้ว่าเป็นทฤษฎีที่เก่าแก่ที่สุด สาระสำคัญของทฤษฎีนี้คือ เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐ มนุษย์เป็นเพียงองค์ประกอบของรัฐเท่านั้น การปกครองรัฐเป็นอำนาจของพระเจ้าโดยมีผู้ปกครองเป็นตัวแทน การละเมิดอำนาจรัฐเป็นบาปและมีโทษ ประชาชนต้องเคารพและเชื่อฟังผู้ปกครองรัฐโดยจะขัดขืนหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้
๓) ทฤษฎีแสนยานุภาพ (The Force Theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่าการปกครองมีจุดเริ่มต้นจากการเข้ายึดครองและการบีบบังคับ รากฐานของรัฐคือความอยุติธรรม ฉะนั้นผู้ที่เข้มแข็งกว่าจึงสามารถข่มเหงผู้อ่อนแอกว่าได้ และได้สร้างกฎเกณฑ์ที่ประหนึ่งว่าชอบด้วยกฎหมายและชอบธรรม เพื่อกำจัดสิทธิของบุคคลอื่น อำนาจเป็นลักษณะสำคัญของรัฐ และรัฐคืออำนาจที่อยู่เหนือศีลธรรมทั้งปวง
๔) ทฤษฎีธรรมชาติ (The Natural Theory) ทฤษฎีนี้ถือว่า มนุษย์ไม่อาจแยกตัวออกจากรัฐ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์การเมือง สิ่งที่อยู่นอกรัฐคือพระเจ้าและสัตว์แต่มิใช่มนุษย์ ความเชื่อว่ารัฐเป็นสิ่งธรรมชาติ เติบโตเป็นสถาบันที่มีประโยชน์ได้เป็นความคิดที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ ปราชญ์บางคนถือว่ารัฐเป็นเสมือนสิ่งที่มีชีวิตและวิวัฒนาการที่ดีขึ้นไปตามลำดับ
นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีอื่นๆ อีกหลายทฤษฎี เช่น ทฤษฎีวิวัฒนาการ ทฤษฎีนิติศาสตร์ ทฤษฎีชีวภาพ เป็นต้น ซึ่งแต่ละทฤษฎีต่างก็มีความเห็นในเรื่องของกำเนิดรัฐแตกต่างกันออกไป ส่วนในทางพระพุทธศาสนามักจะมีผู้อธิบายถึงกำเนิดของรัฐมีลักษณะค่อนไปทางทฤษฎีธรรมชาติ คือ เน้นที่สถาบัน เช่น ครอบครัว ว่าเกิดตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสสอนถึงเรื่องนี้โดยตรง เป็นแต่เพียงการนำคำสอนที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาศึกษาเปรียบเทียบเท่านั้น การนำเอาธรรมชาติของมนุษย์มาเป็นจุดเริ่มต้นในการศึกษาถึงกำเนิดรัฐ สามารถเลือกลักษณะที่แตกต่างกันมาใช้และอธิบายได้แตกต่างกันออกไป
ในพระพุทธศาสนามีพระสูตรที่กล่าวถึงเรื่องกำเนิดรัฐไว้ เช่น ในอัคคัญญสูตร พระสูตรนี้เริ่มต้นจากการที่สามเณรสองรูป คือ สามเณรวาเสฏฐะและสามเณรภารทวาชะได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อประสงค์จะฟังธรรม สามเณรทั้งสองรูปนั้นเดิมเป็นพราหมณ์ที่นับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน กำลังอยู่ปริวาสกรรม (อบรม) เพื่อต้องการที่จะเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เมื่อไปถึงพระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ทั้งสองนั้นเคยเป็นพราหมณ์มาก่อน เมื่อมาบวชเช่นนี้พวกพราหมณ์ไม่ด่าว่าบ้างหรือ สามเณรทั้งสองรูปก็กราบทูลว่า พวกพราหมณ์พากันด่าว่าอย่างรุนแรง พระพุทธองค์จึงตรัสถามต่อไปว่า พวกพราหมณ์เหล่านั้นด่าว่าอย่างไรบ้าง สามเณรทั้งสองก็กราบทูลถึงคำด่าของพวกพราหมณ์ว่า
พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะประเสริฐที่สุด…เป็นวรรณะขาว…บริสุทธิ์ เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหม พรหมเนรมิตขึ้น พวกอื่นเป็นวรรณะดำ พวกอื่นนอกจากพราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ เจ้าทั้งสองคนละวรรณะอันประเสริฐสุดเสียแล้วไปเข้ารีตวรรณะที่เลวทราม คือ พวกสมณะที่ศรีษะโล้นเป็นพวกคฤหบดี เป็นพวกดำ เป็นพวกที่เกิดจากเท้าพรหม ข้อนั้นไม่ดี ไม่สมควรเลย[๓]
พระผู้มีพระภาคทรงสดับแล้วจึงตรัสแก่สามเณรทั้งสองรูปนั้นว่า พวกพราหมณ์เหล่านั้นระลึกถึงเรื่องเก่าของพวกเขามิได้จึงกล่าวอย่างนั้น พวกพราหมณ์เหล่านั้นเกิดมาจากช่องคลอดของนางพราหมณีทั้งนั้น จะมาอ้างว่าตนสะอาดกว่าคนอื่นหรือเป็นวรรณะขาวอยู่พวกเดียวได้อย่างไร จากนั้นตรัสเรื่องมนุษย์สี่วรรณะที่ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วเหมือนกัน และตรัสเล่าถึงการที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงปฏิบัติต่อพระองค์ (ซึ่งพราหมณ์ถือว่าเป็นพวกดำเพราะออกบวช) ด้วยความเคารพ
จะเห็นได้ว่าการเริ่มต้นของพระสูตรนี้ เป็นการเริ่มต้นของปัญหาธรรมะที่มีความเกี่ยวข้องกับสภาพทางสังคมในสมัยนั้น เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าสภาพสังคมในขณะนั้นมีการแบ่งชั้นวรรณะกันอย่างรุนแรง พวกที่เกิดในวรรณะ (ที่ถือกันเองว่า)สูง ก็พยายามกดขี่หรือเหยียดหยามพวกที่ตนถือว่าเป็นคนวรรณะต่ำกว่าให้อยู่ใต้อำนาจ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงปฏิเสธความเชื่อถือหรือระบบสังคมแบบนี้ ที่พวกพราหมณ์พากันยึดถืออย่างจริงจัง และตรัสย้อนในเชิงให้คิดว่า พวกพราหมณ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เกิดจากช่องคลอดของนางพราหมณีด้วยกันทั้งนั้น จะมาอ้างตัวว่าวิเศษกว่าคนอื่น สะอาดกว่าคนอื่นได้อย่างไร ซึ่งการปฏิเสธความเชื่อของคนส่วนใหญ่ในขณะนั้นเป็นแนวความคิดใหม่ที่ไม่มีใครเคยพูดถึงมาก่อน จึงทำให้มีคนหันมาสนใจและหันมานับถือพระพุทธศาสนามากขึ้น ในขณะเดียวกันพวกพราหมณ์ก็เพิ่มความเกลียดชังและอิจฉาริษยาต่อพระพุทธศาสนามากขึ้นด้วย เพราะทำให้พวกเขาสูญเสียผลประโยชน์ ต่อจากนั้นพระองค์ก็ตรัสเล่าถึงเรื่องราวดังกล่าว ที่พวกพราหมณ์เข้าใจผิดในเกณฑ์การตัดสินหรือการแบ่งชนชั้นของมนุษย์ให้สามเณรทั้งสองรูปเข้าใจ โดยตรัสเล่าถึงการเริ่มต้นของสังคมมนุษย์ว่า
โดยล่วงระยะกาลยืดยาวช้านานที่โลกจะพินาศ เมื่อโลกพินาศอยู่โดยมากเหล่าสัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปิติเป็นอาหารมีรัศมีซ่านออกจากกายของตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน[๔]
จะสังเกตเห็นว่าการอธิบายในพระสูตรนี้ มิได้อธิบายถึงต้นกำเนิดดั้งเดิมหรือตัวมูลการณ์แต่อย่างใด เพียงแต่อ้างถึงในช่วงก่อนที่โลกจะพินาศแตกดับไปตามกฎของธรรมชาติว่า สภาพความเป็นอยู่ของสัตว์ในยุคนั้นเป็นอย่างไร แล้วทรงอธิบายถึงวิวัฒนาการของโลกที่กลับมาเจริญอีกครั้งหนึ่ง สัตว์เหล่านี้ก็มาจุติในโลกนี้อีกมีสภาพความเป็นอยู่เหมือนกับตอนที่อยู่ในชั้นอาภัสสรพรหม คือ มีรัศมีในกาย ไม่ต้องกินอาหาร สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ จักรวาลทั้งสิ้นเป็นน้ำ มืดมนไปหมด ยังไม่มีดวงดาว ไม่มีเพศ สัตว์ทั้งหลายดำรงชีพอยู่ด้วยความสุขสบายสิ้นกาลช้านาน ข้อความในพระสูตรต่อไปมีว่า
โดยล่วงกาลยืดยาวช้านาน เกิดง้วนดินลอยอยู่บนน้ำทั่วไป ได้ปรากฎแก่สัตว์เหล่านั้นเหมือนนมสดที่บุคคลเคี่ยวให้งวด แล้วตั้งไว้ให้เย็นจับเป็นฝาอยู่ข้างบนฉะนั้น ง้วนดินถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใสหรือเนยข้นอย่างดี มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็กอันหาโทษมิได้ฉะนั้น[๕]
เมื่อเกิดง้วนดินขึ้นดังนี้ เกิดมีสัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลน ใช้นิ้วช้อนง้วนดินเหล่านั้นขึ้นมาชิมดู รสชาติของง้วนดินนั้นเกิดซาบซ่านไปทั่วร่างกาย ก็เกิดความพอใจและความอยากขึ้น สัตว์เหล่าอื่น ๆ ก็พากันทำตามคนโลนนั้น บางคนเริ่มปั้นง้วนดินเป็นคำ ๆ แล้วบริโภค เมื่อบริโภคง้วนดินซึ่งเป็นอาหารหยาบทำให้รัศมีในกายหายไป ปรากฎดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ขึ้นมา ดาวเคราะห์ทั้งหลายก็ปรากฎ ร่างกายก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ผิวพรรณก็เริ่มผิดแผกแตกต่างกันออกไป พวกที่ผิวพรรณดีก็ถือตัว ดูหมิ่นพวกที่มีผิวพรรณไม่งาม
ซึ่งข้อความในพระสูตรตอนนี้แสดงให้เห็นถึงตัณหาของมนุษย์ว่า ธรรมดานั้นมนุษย์มีตัณหาอยู่ภายในจิตใจอยู่แล้ว เมื่อมีสิ่งมากระตุ้นซึ่งเป็นวัตถุภายนอก จึงกระทำสิ่งต่าง ๆ ตามความอยากหรือตามความต้องการของกิเลสได้อย่างง่ายดาย เมื่อสัตว์ผู้หนึ่งกระทำสัตว์อื่น ๆ ก็กระทำเลียนแบบกันอย่างกว้างขวาง เมื่อมนุษย์มีพฤติกรรมที่ผิดแผกจากเดิมก็ส่งผลให้ธรรมชาติมีความวิปริตแปรปรวนได้ การที่จิตใจของมนุษย์เริ่มตกต่ำลง เริ่มมีการถือตัว เหยียดหยามกันเรื่องผิวพรรณวรรณะนั้น ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความตกต่ำในสังคม ต่อมาง้วนดินนั้นก็หายไป เกิดสะเก็ด เครือดินขึ้นมาแทนที่ตามลำดับ แต่มนุษย์ก็พากันดูหมิ่นเหยียดหยามเรื่องผิวพรรณวรรณะกันมากขึ้น อาหารเหล่านั้นก็หายไปทุกครั้ง และทุกครั้งที่อาหารหายไปพวกสัตว์เหล่านั้นต่างพากันบ่นเพ้อถึงด้วยความเสียดายถึงรสชาติของอาหารนั้น ๆ
ถึงทุกวันนี้ก็เหมือนกัน คนเป็นอันมากพอถูกความระทมทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งมากระทบ ก็มักจะบ่นกันอย่างนี้ว่า สิ่งของของเราทั้งหลายได้เคยมีแล้วหนอ แต่เดี๋ยวนี้สิ่งของของเราทั้งหลายได้สูญหายเสียแล้วหนอ พวกพราหมณ์ระลึกได้ถึงอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดีเป็นของโบราณเท่านั้น แต่ไม่รู้ชัดถึงเนื้อความแห่งอักขระนั้นเลย[๖]
เมื่ออาหารหายไปพวกสัตว์ก็จะมาประชุมกัน แต่ไม่ได้มาประชุมกันปรึกษาหารือเพื่อหาทางแก้ไขหรือหาทางป้องกันไม่ให้อาหารนั้นหายไปอีกแต่อย่างใด เพียงแต่จับกลุ่มกันบ่นถึงอาหารที่หายไปนั้นว่า ดีจริง ดีจริง ด้วยความเสียดาย พวกสัตว์เหล่านั้นเพียงแต่รู้ว่าอาหารที่หายไปเป็นของดีเท่านั้น แต่ไม่รู้ชัดถึงว่าอาหารนั้นดีอย่างไร หลังจากเครือดินหายไปก็เกิดข้าวสาลีชนิดที่เป็นอาหารได้ เป็นข้าวที่ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ ขาวสะอาดมีกลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสาร เมื่อเก็บไปบริโภคในตอนเย็นตอนเช้าก็จะงอกกลับขึ้นมาใหม่ สัตว์ทั้งหลายก็พากันบริโภคข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร ข้าวสาลีทำให้ร่างกายของมนุษย์มีวิวัฒนาการต่อไป ผิวพรรณวรรณะก็แตกต่างกันมากขึ้น เกิดมีเพศหญิงเพศชายขึ้นมา ทั้งสองเพศต่างก็เพ่งมองซึ่งกันและกันก็เกิดความกำหนัดขึ้น เกิดความเร่าร้อนภายในกาย และพากันเสพเมถุน สัตว์อื่น ๆ เห็นก็พากันด่าว่า โปรยฝุ่นใส่ ขว้างปา สัตว์ที่เสพเมถุนนั้น พร้อมทั้งห้ามเข้ากลุ่มเดือนหนึ่งบ้าง สองเดือนบ้าง ผู้ใดต้องการที่จะเสพเมถุนก็ต้องหลบซ่อน โดยการสร้างสถานที่กำบังขึ้นมาปกปิดการกระทำนั้น
ในตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้ง และการใช้ความรุนแรงในสังคม และยังแสดงถึงจุดเริ่มต้นของสถาบันครอบครัวซี่งถือว่าเป็นองค์ประกอบเบื้องต้นของรัฐ และข้อความในพระสูตรยังแสดงให้เห็นถึงการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของสังคม เพราะไม่สามารถอดทนต่ออำนาจกิเลสตัณหาที่มีอยู่ภายในจิตใจได้ และยังแสดงถึงการสะสมและเกิดทรัพย์สินของปัจเจกชนขึ้น
ครั้งนั้นสัตว์ผู้หนึ่งเกิดความเกียจคร้านขึ้น จึงได้มีความเห็นอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ เราช่างลำบากเสียนี่กระไร ที่ต้องไปเก็บข้าวสาลีมาทั้งในเวลาเย็นสำหรับอาหารเย็น ทั้งในเวลาเช้าสำหรับอาหารเช้า อย่ากระนั้นเลย เราควรไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้เพื่อบริโภคทั้งเช้าทั้งเย็นคราวเดียวเถิด[๗]
สัตว์ผู้นั้นก็เก็บข้าวสาลีมาไว้บริโภคทั้งเช้าทั้งเย็นในคราวเดียว หลังจากนั้นก็เริ่มเก็บสั่งสมไว้ ๒ วันบ้าง ๔ วันบ้าง ๘ วันบ้าง สัตว์เหล่าอื่นๆ ก็พากันสั่งสมตามอย่าง เมื่อสั่งสมกันมากเข้า ข้าวสาลีก็กลายเป็นมีรำห่อเมล็ดบ้าง มีแกลบหุ้มบ้าง ต้นที่ถูกเก็บเกี่ยวแล้วก็ไม่กลับงอกแทน จึงปรากฎว่าข้าวสาลีที่เก็บแล้วขาดเป็นตอน ๆ พวกมนุษย์เหล่านั้นจึงประชุมปรึกษาหารือกันปรารภถึงความเสื่อมทรามที่เกิดขึ้นโดยลำดับ และหาทางแก้ไขปัญหานี้โดยการแบ่งข้าวสาลีและปักปันเขตแดนกันขึ้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเกียจคร้านและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา
เมื่อมนุษย์เกิดความโลภทรัพยากรธรรมชาติซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดก็มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ จึงเกิดการจัดสรรปันส่วนกันครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่หลังจากแบ่งปันดินแดนและผลผลิตกันครอบครองแล้ว เกิดมีคนที่โลภสงวนส่วนของตนไว้แล้วไปขโมยในส่วนของผู้อื่นมาบริโภค เมื่อถูกจับได้ ๒ - ๓ ครั้งแรกก็ได้แค่ตักเตือนสั่งสอน คนที่ขโมยนั้นก็รับปากว่าต่อไปจะไม่ขโมย แต่ก็ไม่กระทำตามสัญญาภายหลังก็ขโมยอีก จึงมีมนุษย์บางคนทนไม่ได้ถึงกับลงไม้ลงมือ พวกหนึ่งตีด้วยท่อนไม้ พวกหนึ่งก็ตีด้วยฝ่ามือ บ้างก็ใช้ก้อนดินขว้างปา เมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวายอย่างนี้พวกมนุษย์ผู้ใหญ่ก็ประชุมกันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา
ครั้งนั้นแล พวกสัตว์ที่เป็นผู้ใหญ่จึงประชุมกัน ครั้นแล้วต่างก็ปรับทุกข์กันว่า พ่อเอ๋ย ก็การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้จักปรากฎ การติเตียนจักปรากฎ การพูดเท็จจักปรากฎ การถือท่อนไม้จักปรากฎ ในเพราะบาปธรรมเหล่าใด บาปธรรมเหล่านั้นเกิดปรากฎแล้วในสัตว์ทั้งหลาย อย่ากระนั้นเลย พวกเราสมมติสัตว์ผู้หนึ่งให้เป็นผู้ที่ควรว่ากล่าวได้โดยชอบ ให้เป็นผู้ติเตียนผู้ที่ควรติเตียนโดยชอบ ให้เป็นผู้ที่ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบ ส่วนพวกเราจักแบ่งข้าวสาลีให้แก่ผู้นั้น[๘]
จากข้อความในพระสูตรนี้แสดงให้เห็นถึงความเลวร้ายในสังคม ที่เป็นสาเหตุของการกำเนิดรัฐอย่างชัดเจน โดยเริ่มต้นจากความตกต่ำทางศีลธรรมของมนุษย์ที่มีความโลภ เกิดมีอทินนาทาน มีการมุสาวาทคือโกหกหลอกลวง เกิดการตัดสินโทษแก่ผู้ที่ล่วงละเมิดตามความพอใจของตนเอง เกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้น ความวุ่นวายในสังคมดังกล่าวจึงเกิดสถาบันผู้ปกครองขึ้นเพื่อคอยปกป้องคุ้มครองคนดี ลงโทษคนผิด เป็นผู้คอยตัดสินว่าใครถูกใครผิด
ด้วยเหตุนี้สถาบันผู้ปกครองจึงเกิดขึ้นจากการคัดเลือกของประชาชน โดยประชาชนพร้อมใจกันสละผลประโยชน์ของตนหรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า ภาษี ให้เป็นค่าตอบแทน ซึ่งการที่ประชาชนเป็นผู้คัดเลือกและมอบอำนาจให้กับผู้ปกครองนั้น มีส่วนคล้ายคลึงกับทฤษฎีพันธสัญญาของฮอบส์ แต่การมอบอำนาจในพระสูตรนี้ไม่ได้ให้เด็ดขาดเหมือนของฮอบส์ ถ้าหากว่าผู้ปกครองใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ประชาชนไม่พอใจ ก็สามารถเรียกร้องอำนาจนั้นคืนมาได้ เพราะคำว่าราชา แปลว่า ผู้ทำความสุขใจ พอใจ หรือความชอบธรรมแก่บุคคลอื่น มีข้อความในพระสูตรว่า
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุที่ผู้ที่เป็นหัวหน้าอันมหาชนสมมติดังนี้แล มหาชนสมมติจึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับแรก เพราะเหตุที่ผู้ที่เป็นหัวหน้าเป็นใหญ่ยิ่งแห่งเขตทั้งหลายดังนี้แล อักขระว่ากษัตริย์ กษัตริย์จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับสอง เพราะเหตุที่ผู้ที่เป็นหัวหน้ายังชนเหล่าอื่นให้สุขใจได้โดยธรรมดังนี้แลอักขระว่าราชา ราชาจึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับสามดังนี้แล[๙]
ในพระสูตรตอนนี้แสดงการเกิดขึ้นของผู้ปกครองมาเป็นลำดับ คือ
๑) มหาชนสมมติ เกิดจากประชาชนพร้อมใจกันมอบอำนาจให้กับบุคคลที่เหมาะสม และสมมติให้เป็นผู้ปกครอง
๒) กษัตริย์ หมายถึง ผู้เป็นเจ้าแห่งนา หรือ ผู้เป็นใหญ่แห่งนา
๓) ราชา หมายถึง ผู้ที่ทำให้ประชาชนสุขใจ พอใจโดยธรรม
ต่อจากนั้นเป็นการแสดงถึงการเกิดขึ้นของวรรณะต่าง ๆ ว่า เกิดจากการแบ่งงานกันทำตามความพอใจ การแบ่งงานกันทำเป็นแผนก ๆ จึงทำให้เกิดความแตกต่างของหมู่ชน คือทำให้เกิดเป็นวรรณะขึ้น คนทั้งสี่วรรณะมิได้แตกต่างกันมาแต่เดิม ชาติกำเนิดมิได้เป็นเครื่องวัดคุณค่าหรือตัดสินความแตกต่างระหว่างมนุษย์ว่าใครสูงต่ำกว่าใคร ดังข้อความในพระสูตรว่า
ดูก่อนวาเสฎฐะและภารทวาชะ ด้วยประการดังนี้การบังเกิดขึ้นของพวกกษัตริย์จึงมีขึ้นได้เพราะอักษรเป็นที่รู้กันว่าเป็นของดี เป็นของเก่าอย่างนี้แล เรื่องของสัตว์เหล่านั้นจะต่างกันหรือเหมือนกัน จะไม่ต่างกันหรือไม่เหมือนกันก็เพราะธรรมเท่านั้น นอกจากธรรมหามีไม่ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ความจริงธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐสุดในที่ประชุมชนทั้งในปัจจุบันและในภายหน้า[๑๐]
ตามคติในทางพระพุทธศาสนา คนทั้งสี่วรรณะนั้นมิได้แตกต่างกันมาแต่เดิม แต่เพราะเป็นที่ยอมรับกันว่าดีของประชาชน จึงทำให้บุคคลที่มีหน้าที่การงานสูงได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นวรรณะสูง แต่สิ่งที่ทำให้สัตว์แตกต่างกันก็คือ ธรรม เท่านั้น คนทั้งสี่วรรณะหากกระทำกรรมชั่วก็จะได้รับผลชั่วเสมอเหมือนกัน ดังข้อความในพระสูตรว่า
ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์ก็ดี…พราหมณ์ก็ดี…แพศย์ก็ดี…ศูทรก็ดี…สมณะก็ดี ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิเป็นเหตุ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรกทั้งสิ้น[๑๑]
ในทางตรงข้ามกันหากประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยสัมมาทิฏฐิ ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ และในตอนท้ายของพระสูตรพระพุทธองค์ได้ตรัสย้ำภาษิตของสนังกุมารพรหมและของพระองค์ว่ามีเนื้อความที่ตรงกัน คือ “กษัตริย์ผู้ประเสริฐในหมู่ชนรังเกียจกันด้วยโคตร แต่ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา (ความรู้) จรณะ (ความประพฤติ) ผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่เทวดาและมนุษย์”[๑๒]
เนื้อความในอัคคัญญสูตรนี้ คนรุ่นใหม่อาจจะมองเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเชื่อถือ เพราะบางอย่างอาจจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่วัตถุประสงค์ของการตรัสพระสูตรนี้มิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ทราบถึงกำเนิดของโลกหรือกำเนิดของมนุษย์แต่อย่างใด แต่ประสงค์จะชี้ให้เห็นว่า ชาติกำเนิด ผิวพรรณ วรรณะ มิได้เป็นเครื่องวัดความแตกต่างหรือวัดคุณค่าความเป็นมนุษย์ แต่สิ่งที่ควรนำมาตัดสินคือธรรมะกับอธรรมนั่นเอง สุชีพ ปุญญานุภาพ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
การแสดงความเป็นมาของโลกอาจจะวินิจฉัยได้สองประการ คือ ประการแรกเป็นการนำเอาหลักการของศาสนาพราหมณ์มาเล่า แต่อธิบายความหมายหรือตีความเสียใหม่ ให้เข้ารูปเข้ารอยกับคติธรรมทางพระพุทธศาสนา อันชี้ให้เห็นว่าพราหมณ์เข้าใจของเก่าผิด จึงหลงยกตัวเองว่าประเสริฐอีกอย่างหนึ่งเป็นการเล่าโดยมิได้อิงคติของพราหมณ์ โดยการถือเอาเป็นของพระพุทธศาสนาแท้ๆ[๑๓]
แต่ถ้าหากคิดในแนววิทยาศาสตร์ ก็อาจจะเป็นไปได้ที่ระบบสุริยะอาจจะถูกทำลายหรือสลายตัวแล้วกลับวิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ อาจจะมีธาตุไฮโดรเจนรวมกับน้ำและแข้นแข็งในที่สุด แต่อย่างไรก็ตามประเด็นนี้เป็นเพียงส่วนประกอบของเรื่อง เป็นเรื่องชวนให้คิดมิได้ชวนให้ติดในเกร็ด ปรีชา ช้างขวัญยืน ให้ความเห็นว่า “ถ้าพิจารณาในแง่ของเหตุผลแล้วจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงการเกิดของรัฐโดยธรรมชาติ ที่ว่านี้ก็เน้นไปถึงพื้นฐานทางกายและทางใจของมนุษย์”[๑๔]
สรุปการกำเนิดรัฐตามแนวคิดในอัคคัญญสูตร
ในพระสูตรนี้ได้กล่าวถึงกำเนิดของสังคมมนุษย์ แต่มิได้กล่าว ถึงปฐมสภาวะของมนุษย์หรือของโลกตั้งแต่แรกเริ่มทีเดียว เพราะก่อนหน้าที่โลกจะพินาศนั้น แสดงว่าโลกเคยเจริญมาก่อนเมื่อโลกพินาศสัตว์โลกส่วนมากไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม เมื่อโลกกลับมาเจริญอีกครั้งหนึ่ง เริ่มแรกยังไม่ได้กำเนิดขึ้นเป็นสังคมหรือเป็นรัฐ ยังไม่มีการปกครอง ในสภาพดั้งเดิมของมนุษย์นั้นเป็นสภาพที่สงบสุข มนุษย์ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ต่อมาเกิดความโลภ ความเกียจคร้านขึ้นทำให้มีการสั่งสมอาหาร เกิดการแบ่งปันเขตแดนเพื่อครอบครองผลผลิต เกิดมีสถาบันครอบครัว กิเลสตัณหา มานะทิฏฐิทำให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นในสังคมมนุษย์ การดูถูกดูหมิ่นกันระหว่างพวกที่มีผิวพรรณงามกับไม่งามนี้เป็นมานะ กิเลสทำให้เกิดการทำร้าย ทะเลาะวิวาทกันในสังคม จึงเกิดมีผู้ทำหน้าที่ในการระงับความขัดแย้ง คอยปกป้องคนดีลงโทษคนผิด เรียกว่าเกิดมีสถาบันผู้ปกครองขึ้นมา ผู้ปกครองทำหน้าที่ปกครองหมู่คณะโดยตั้งกฎเกณฑ์หรือกฎหมายขึ้นมา คำตัดสินของผู้ปกครองถือว่าเป็นบรรทัดฐานของกฎหมาย การปกครองโดยอำนาจของกฎหมายนี้เองถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกำเนิดรัฐ
รัฐจึงเป็นสิ่งที่กำเนิดขึ้นมาเพื่อควบคุมสถานการณ์ความเลวร้ายในสังคม ความเลวร้ายเหล่านี้เป็นตัวบีบคั้นสังคมให้แสวงหาวิธีที่จะนำมาใช้แก้ปัญหา ผู้ปกครองรัฐ คือทางเลือกที่สมาชิกของสังคมเห็นร่วมกันให้เป็นผู้ที่มีความชอบธรรมในการใช้อำนาจรัฐ เพื่อสกัดกั้นกิเลสอันมีอย่างไม่จำกัดของมนุษย์ แต่รัฐสามารถทำได้เพียงควบคุมหรือสกัดกั้นกิเลสบางส่วนของมนุษย์เท่านั้น พอที่จะทำให้มนุษย์อยู่รวมกันในสังคมได้อย่างสงบสุขเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำให้กิเลสหมดไปจากมนุษย์ได้ จุดมุ่งหมายของรัฐเพียงเพื่อขจัดความเลวร้ายในสังคม และปกป้องคนดีให้อยู่กันอย่างสงบสุข หรืออาจจะกล่าวได้ว่ารัฐเป็นเพียงเครื่องมือที่จะทำให้มนุษย์พัฒนาตนเองให้บรรลุถึงเป้าหมายที่สูงสุดของชีวิตได้
อ้างอิง
[๑] อานนท์ อาภาภิรม , หลักรัฐศาสตร์เบื้องต้น (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ , ๒๕๒๘ ) , หน้า ๒๓.
[๒] จรูญ สุภาพ อ้างแล้วเชิงอรรถที่ ๗ หน้า ๓๕.
[๓] ที.ปา. ๑๑ / ๕๑ / ๖๑ - ๖๒.
[๔] ที.ปา. ๑๑ / ๕๖ / ๖๕ - ๖๖.
[๕] ที.ปา. ๑๑ / ๕๘ / ๖๖ - ๖๗.
[๖] ที.ปา. ๑๑ / ๖๐ / ๖๘ - ๖๙.
[๗] ที.ปา. ๑๑ / ๖๐ / ๖๘ - ๖๙.
[๘] ที.ปา. ๑๑ / ๖๒ / ๗๑.
[๙] ที.ปา. ๑๑ / ๖๓ / ๗๑.
[๑๐] ที.ปา. ๑๑ / ๖๕ / ๗๓.
[๑๑] ที.ปา. ๑๑ / ๖๗ / ๗๔.
[๑๒] ที.ปา. ๑๑ / ๗๒ / ๗๔.
[๑๓] สุชีพ ปุญญานุภาพ , พระไตรปิฏกฉบับประชาชน พิมพ์ครั้งที่ ๑๖ ( กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย , ๒๕๓๙) , หน้า ๓๕๕.
[๑๔] ปรีชา ช้างขวัญยืน , ทรรศนะทางการเมืองของพระพุทธศาสนา ( กรุงเทพฯ : บริษัทสามัคคีสาส์น จำกัด, ๒๕๔๐ ) , หน้า ๗๑.
ไม่มีความเห็น