กฎบัตรอาเซียนข้อ 34 บัญญัติว่า “The working language of ASEAN shall be English” “ภาษาที่ใช้ในการทำงานของอาเซียน คือ ภาษาอังกฤษ หมายความว่าประชาชนพลเมืองใน 10 ประเทศอาเซียนจะต้องใช้ภาษาอังกฤษกันมากขึ้น ภาษาอังกฤษจึงกลายเป็นเครื่องมืออันดับหนึ่งสำหรับพลเมืองอาเซียน ในการสื่อสารสร้างสัมพันธ์สู่โลกกว้างของภูมิภาคอาเซียน โลกแห่งมิตรไมตรีที่ขยายกว้างไร้พรมแดน โลกแห่งการแข่งขันไร้ขอบเขตภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม ทุกคนต้องเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ทั้งสิ้น ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ตลอดจนถึงเกษตรกรชาวไร่ชาวนา ชาวบ้านทั่วไป นักเรียน นักศึกษา เด็กและเยาวชน ฯลฯ (สมเกียรติ อ่อนวิมล,2554)
แต่จากสถิติข้อมูลไทโพสท์ (วิโรจน์ สารรัตนะ,2555) แสดงให้เห็นว่า ความสามารถของเด็กไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยรายงานความสามารถด้านภาษาอังกฤษ (EF: English Proficiency Index) ปี 2011 ของสถาบันสอนภาษา Education First (EF) สถาบันสอนภาษาชั้นนำของโลก ปรากฏว่าความสามารถด้านภาษาอังกฤษของไทยอยู่ในอันดับที่ 42 จาก 44 ประเทศ โดยจัดอยู่ในกลุ่มความสามารถด้านภาษาอังกฤษต่ำมาก ( very low Proficiency )
ผลสำรวจล่าสุดจากเว็บไซต์หางานชื่อดัง “จ๊อบสตรีท” ชี้ ทักษะทางด้านภาษาอังกฤษของคนไทยอยู่ในระดับ “ต่ำเตี้ยติดดิน” ที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกัน (ผู้จัดการออนไลน์ ,2556)
คุณยงยุทธ แฉล้มวงศ์(ออนไลน์,2556) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยผลวิจัยโครงการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนว่า ผลการศึกษาในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา พบว่าศักยภาพและความพร้อมของไทยอยู่ในระดับ “กลาง ๆ” เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน และเป็นรองแม้กระทั่งอินโดนีเซียและห่างไกลมากกับมาเลเซียที่มีศักยภาพเป็นอันดับสอง ส่วนสิงคโปร์นั้นมีศักยภาพสูงสุดหากเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียนด้วยกัน ขีดความสามารถด้านการศึกษาของไทยอยู่อันดับ 6 รองจากสิงคโปร์, มาเลเซีย, บรูไน, อินโดฯ, เวียดนาม และถ้าเปรียบเทียบในทวีปเอเชียในภาพรวมแล้ว ทักษะภาษาอังกฤษของคนไทยอยู่อันดับที่ 43 เป็นรองสิงคโปร์อันดับที่ 6
ฟิลิบปินส์อันดับที่ 16 มาเลเซียอันดับที่ 23 และอินโดฯที่ 42
ผลวิเคราะห์จาก สทศ. ยืนยันชัดเจนว่าคะแนนโอเน็ตเด็กไทย(ปี2555)ยังต่ำกว่าเกณฑ์ อย่างในระดับ ป.6 ภาษาอังกฤษ เฉลี่ย 36.99 สูงสุด 100.00 ต่ำสุด 0.00 เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดพบว่าค่าคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงครึ่ง นักเรียนจำนวนมากได้ศูนย์คะแนน (มติชนออนไลน์ ,2556)
การจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งโดยหลักสูตรแล้วมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดทักษะที่สำคัญ 4 ทักษะ คือ ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันได้ เมื่อสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนโดยทั่วไปก็พบว่า ผู้เรียนไม่สามารถอ่านเอกสาร ข้อมูล หรือคำศัพท์ง่ายๆที่เป็นภาษาอังกฤษใกล้ตัว หรือข้อมูลที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ได้ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วทักษะการอ่านมีความสำคัญไม่น้อยกว่าทักษะอื่นๆกล่าวคือ
ทักษะการอ่านเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้เรียน ทั้งนี้เพราะโอกาสในการใช้ทักษะการฟัง พูด และเขียนภาษาอังกฤษมีน้อยกว่าการอ่าน และการอ่านยังเป็นทักษะที่คงอยู่กับผู้เรียนนานที่สุด ผู้เรียนใช้มากที่สุด (ขจรชัย พิมพ์สิงห์, 2552)
การอ่านออกเสียงเป็นทักษะพื้นฐานในการเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนมีการพัฒนาทักษะการเรียนด้านอื่น ๆ ตามมา เพราะการอ่านที่ถูกต้องจะทำให้นักเรียนเขียนตัวสะกดได้ถูกต้อง นอกจากนี้การอ่านออกเสียงได้ถูกต้องชัดเจนจะทำให้นักเรียนเกิดความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษของตนเอง ทำให้สามารถพัฒนาไปสู่ทักษะการอ่านขั้นสูงต่อไป เช่น การอ่านเพื่อจับใจความ การอ่านเพื่อความเข้าใจเป็นต้น (นางนภาพร วงศ์พุทธาม,2556)
นอกจากนี้ บทความ “สอนภาษาอังกฤษอย่างไร ขนาดเด็กมหาวิทยาลัยยังพูดไม่ได้” เว็บ sahavicha.com ตั้งข้อสังเกต ถึงปัญหาเกี่ยวกับครูไทย ที่ส่งผลต่อการพูดภาษาอังกฤษของเด็กไทย ไว้ว่า เริ่มจากการที่ เรายังขาดแคลนครูที่จะมาสอนเด็ก อัตราส่วนของครูที่มีต่อเด็ก ส่วนมากจะอยู่ที่ 30 กว่าคนต่อห้อง ทำให้การฝึกพูดไม่ค่อยได้ผล พอกลุ่มนี้กำลังฝึก กลุ่มอื่นก็คุย บางโรงเรียนมีครูสอนภาษาอังกฤษคนเดียว สอนตั้งแต่ ม.1-ม.6 ปัญหาขาดครูเอกภาษาอังกฤษ ทำให้บางโรงเรียนต้องใช้ครูที่ไม่ได้จบเอกภาษาอังกฤษมาสอน โดยมากมักจะเป็นโรงเรียนต่างจังหวัด ที่เป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่จะเจอปัญหาแบบนี้ จากบทความยังระบุว่า เป็นเพราะครูไทยมีงานอื่นๆที่ไม่ใช่งานสอน ต้องทำ ทั้งงานวิชาการ งานวัดผล งานธุรการ งานฝ่ายปกครอง ทำให้อาจจะไม่มีเวลาใส่ใจ เพิ่มทักษะภาษาอังกฤษให้เด็กเท่าที่ควร ปัญหาสำคัญมาก คือ เราไม่มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน แค่ชั่วโมงเรียนมีแค่อาทิตย์ละ 4 – 5 ชั่วโมง เท่านั้นเอง แต่จะว่าไป ที่พูดมาเรื่องระบบบ้าง เรื่องครูบ้าง ไม่ใช่ว่าเด็กจะไม่มีปัญหาเลย เพราะจากการสำรวจพบว่า 50 % ของการประสบความสำเร็จของการเรียนภาษา มาจากตัวของผู้เรียนเองเป็นสำคัญ เพราะถึงจะได้ครูดี โรงเรียนมีความพร้อม แต่ถ้าเด็กๆ ไม่พยายามฝึกฝน ก็ทำให้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เหมือนกัน
จากข้อมูลดังกล่าวจึงพอสรุปสาเหตุของปัญหาการอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกและการเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้ผลว่า เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ครูผู้สอนที่ไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้เรียนหรือขาดความชำนาญเพราะไม่ได้จบสาขาภาษาอังกฤษโดยตรง หรือภาระงานของครูที่มีมากจนทำให้การสร้างสรรค์สื่อของครูมีน้อย สิ่งแวดล้อมในการเรียนเช่น จำนวนนักเรียนต่อห้องเรียนที่มีมากจนครูดูแลไม่ทั่วถึง หรือห้องเรียนที่ขาดเครื่องมืออุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัย ตัวเด็กเองที่ขาดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้หรือค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมนอกเหนือบทเรียน ผู้เรียนไม่กล้าอ่าน เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับการอ่านออกเสียง อ่านผิด อ่านติดต่อกันหลายคำไม่ได้เนื่องจากเป็นวัยที่เพิ่งเริ่มต้นการเรียนรู้ ต้องการการฝึกฝนบ่อยๆ แต่การจัดการเรียนการสอนปัจจุบันมีหลายกลุ่มสาระการเรียนรู้ เวลาในการเรียนรู้ในห้องเรียนจึงมีน้อย เมื่อให้การบ้านไปทบทวนที่บ้านก็ขาดผู้ชี้แนะเนื่องจากผู้ปกครองขาดความเชี่ยวชาญ หรือไม่มีเวลาในการชี้แนะเนื่องจากต้องทำงานและการแนะนำช่วยเหลือก็ไม่เต็มที่
บงกช สิงหกุล ( 2556 ) กล่าวว่า การปลูกฝังเด็กให้รักการอ่านนั้น ไม่มีกิจกรรมใดในการเตรียมเด็กให้ประสบความสำเร็จในฐานะนักอ่านคนหนึ่งสำคัญไปกว่า “ การออกเสียงร่วมกัน” เด็กๆ เรียนรู้ที่จะรักสำเนียงของภาษาก่อนที่พวกเขาจะสังเกตถ้อยคำที่เขียนตามหน้ากระดาษ การอ่านหนังสือดังๆ กับเด็กจะช่วยปลุกเร้าจินตนาการและขยายความเข้าใจที่มีต่อโลกของพวกเขามันช่วยให้พวกเขาได้พัฒนาภาษาและทักษะการฟังและเตรียมพร้อมพวกเขาในการเข้าใจถ้อยคำที่เขียน เมื่อจังหวะและท่วงทำนองของภาษากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเด็กๆ การเรียนรู้ที่จะอ่านก็จะเป็นธรรมชาติดุจดังการเรียนรู้ที่จะเดินและพูด
ตามหลักจิตวิทยาการเรียนรู้พบว่าผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดีและเข้าใจเนื้อหาในบทเรียนก็ต่อเมื่อผู้เรียนมีความสนใจในในสิ่งที่กำลังจะเรียน ดังนั้นถ้าต้องการให้ผู้เรียนสนใจและตั้งใจเรียนตลอดช่วงเวลาเรียนโดยไม่เบื่อหรือง่วงนอนกลางคัน
(พิมพ์ใจ เจริญศรี, 2544)
Prensky (2001) กล่าวถึงนักเรียนปัจจุบันว่า มีการเปลี่ยนแปลงจากอดีตไปมาก ไม่เฉพาะเสื้อผ้า สิ่งประดับตกแต่ง หรือสไตล์การแสดงออก นักเรียนในยุคปัจจุบันตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัยแสดงให้เห็นถึงการเป็นคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ใช้เวลาส่วนใหญ่ กับสภาพแวดล้อมที่เป็นคอมพิวเตอร์ วีดีโอเกมส์ เครื่องเล่นเพลงดิจิตอล กล้องถ่ายภาพโทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ อินเทอเน็ตรวมทั้งตุ๊กตาและวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ในยุคดิจิตอล(วิโรจน์ สารรัตนะ,2556) ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้คนที่เป็นครูจำเป็นต้องรับรู้และเข้าใจเป็นพื้นฐาน เป็นข้อมูลในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ
รูปแบการจัดการเรียนการสอนแบบกลับทาง(Flipped classroom) เป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนแบบใหม่โดย Jonathan และ Aaron ครูวิชาเคมีของโรงเรียน Woodland Park High School สหรัฐอเมริกา ที่ต้องการช่วยเหลือนักเรียนที่มีปัญหาตามชั้นเรียนไม่ทันเพราะต้องขาดเรียนหรือเรียนเรียนไม่เก่งเรียนรู้ช้า โดยนำวีดีโอไปแขวนไว้บนอินเทอร์เน็ต ให้ศิษย์ที่ขาดเรียนเข้าไปเรียนได้ ทบทวนได้ซ้ำๆ ไม่ต้องพึ่งพาการจดผิดๆถูกๆตกๆหล่นๆอีกต่อไป ครูก็สบายไม่ต้องสอนซ้ำแก่เด็กที่ขาดเรียนไปทำกิจกรรม จนค้นพบวิธีการเรียนรู้แบบกลับทาง คือ เรียนวิชาที่บ้าน ทำการบ้านที่โรงเรียน หรือรับถ่ายทอดความรู้ที่บ้าน แล้วมาสร้างความรู้ต่อยอดจากวิชาที่รับถ่ายทอดมาให้เป็นความรู้ที่สอดคล้องกับชีวิตทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีพลัง เกิดทักษะที่เรียกว่า ทักษะแห่งศตวรรษที่21 (วิจารณ์ พานิช,2556)
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ผุู้เขียนมองว่าภาพรวมหลักการของห้องเรียนกลับทาง(Flipped Classroom) คือ เน้นเรื่องใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา บวกกับการจัดกิจกรรมในห้องเรียนให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ในปัจจุบัน เพราะหลักสูตรการเรียนการสอนปัจจุบันจำกัดเรื่องเวลา ผู้เรียนแทบไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดตามครู ขาดที่ปรึกษาเมื่อกลับบ้าน ทำการบ้านไม่ได้ ผู้เรียนเบื่อการเรียนรู้ ดังนั้นการเรียนรู้จากสื่อต่างๆ นอกเหนือเวลาเรียน เช่น การอ่านหนังสือเพิ่มเติม ปรึกษาเพื่อนหรือครูออนไลน์ ดูซีดีสารคดี สามารถทำได้ล่วงหน้านอกห้องเรียน แล้วตั้งคำถาม หรือเก็บข้อสงสัยไว้เพื่อมาถามครูเพิ่มเติมที่โรงเรียน ส่วนเวลาในห้องเรียน ครูก็สร้างสภาวะแวดล้อมให้เหมาะกับการจัดกิจกรรมที่ออกแบบไว้ เพื่อให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ ครูก็เดินสำรวจไปรอบๆ ห้อง คอยให้คำแนะนำหลักการที่เข้าใจยาก หรือปัญหาที่เด็กพบ วิธีนี้จะทำให้เด็กเข้าใจความรู้ คลายข้อสงสัยลงได้
และเมื่อพิจารณาสภาพการเรียนรู้ในปัจจุบันที่ผู้เรียนสนใจในเทคโนโลยีการจัดการเรียนการสอนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่1 รัฐบาลส่งเสริมให้มีการใช้คอมพิวเตอร์พกพา (Tablet)เป็นสื่อการเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถนำกลับบ้านได้และใช้งานได้เองตลอดเวลา เรียนรู้โต้ตอบจากบทเรียนได้ด้วยตนเอง มีภาพและเสียงประกอบบทเรียน มีการวัดประเมินผลการเรียนรู้ครบขั้นตอน ผู้เรียนฝึกซ้ำๆ ได้มากเท่าที่ต้องการ ผู้เขียนจึงมีแนวคิดว่า การนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน น่าจะเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจเพราะในเมื่อนักเรียนทุกคนจะมีเครื่อง Tablet เป็นของตนเอง ครูมีการออกแบบวางแผนและนำเสนอเนื้อหาบทเรียน ผู้เรียนใช้Tablet เป็นตัวช่วยในการเรียนรู้ สามารถเลือกเวลาเข้าฝึกผ่านบทเรียนได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องมีข้องจำกัดของเวลา ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องชี้แนะเพราะผู้เรียนสามารถเรียนรู้ผ่านบทเรียนได้ ซึ่งเป็นการประหยัดเวลา ลดภาระของครูและผู้ปกครอง นอกจานี้การได้ใช้ภาษาบ่อยๆ ทั้งที่บ้านและโรงเรียนเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้จริงในชีวิตประจำวันจนเกิดเป็นความเคยชิน กล้าพูดและสามารถใช้ภาษาอังกฤษที่เรียนมาในชีวิตจริง
ข้อจำกัดของกระบวนการสอนแบบพลิกคือการเข้าถึงสื่อหรือวีดีโอที่ครูออกแบบ ซึ่งบางโรงเรียนยังประสบปัญหาการขาดแคลนด้านคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นซีดี และสื่อที่เป็นเทคโนโลยีใหม่อันจะเป็นตัวกลางในการเข้าถึงสื่อที่ครูออกแบบ ดังนั้นการออกแบบกิจกรรมของครูควรมีการศึกษาข้อมูลผู้เรียนและสภาพแวดล้อมเพื่อการออกแบบกิจกรรมได้อย่างเหมาะสม
ภาพจาก https://www.google.co.th/search?tbm=isch&source=univ&sa=X&ei=QOKIUo-TCMrarAflzoGwBQ&ved=0CDsQsAQ&biw=1280&bih=655&q=%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%20flipped%20classroom