กราบพระพุทธรูปไม้ ให้ใจถึงธรรมะ


 

กราบพระพุทธรูปไม้ ให้ใจถึงธรรมะ 

      หากมีโอกาสทอดกฐินหรือทอดผ้าป่าในวัดเก่าๆ แถวชนบทอีสาน  อาจได้พบกับสิมเก่า ศาลาการเปรียญเก่า หอไตรเก่า ธรรมาสน์เก่า เชิงบันไดโบสถ์ พระพุทธรูปไม้ งานปูนปั้น ภาพวาด (ฮูปแต้ม) ที่มองแวบเดียวก็รู้ว่า เป็นฝีมือของช่างพื้นบ้าน ที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีก็น่าชื่นชม แต่ที่ดูแลรักษาตามบุญตามกรรม หรือกำลังรื้อทิ้งอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็น่าเสียดายยิ่ง ศิลปะพื้นบ้านแต่ละชิ้นมีเสน่ห์ในลักษณะเฉพาะที่ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์อย่างมุ่งมั่น อดทน ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นตามข้อจำกัดด้านปัจจัย ทุน เครื่องมือ แฝงด้วยศรัทธาอันแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งนับวันจะเป็นสิ่งหายาก ข้อสำคัญเป็นหลักฐานร่องรอยในการศึกษาวัฒนธรรมของผู้คนในอดีตได้

       ศิลปกรรมพื้นบ้านที่หลงเหลืออยู่ได้ ก็เป็นเพราะอยู่ในที่อันเหมาะสม อยู่ในอารักขาของผู้ที่เห็นคุณค่า เห็นความสำคัญของศิลปะพื้นบ้าน อย่างเช่น พระพุทธรูปไม้ ทุกวันนี้หาพบได้น้อยมาก ในวัดทั่วไปมักพบพระพุทธรูปทองเหลือง หรือพระพุทธรูปปูนปั้นเคลือบทองมาประดิษฐานแทน จนคนรุ่นใหม่ไม่เคยเห็นพระพุทธรูปไม้

       วิถีชีวิตที่เรียบง่าย สมถะ เป็นวัฒนธรรมที่ปรับตามสภาพท้องถิ่นอีสานตั้งแต่แรกตั้งรกรากสร้างบ้านแปงเมืองท่ามกลางข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ ทรัพยากร ห่างไกลศูนย์การปกครองจากส่วนกลาง ในท้องถิ่นที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวล้านช้างเช่น ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มีการสร้างพระพุทธรูปไม้ไว้บูชาในวัด มีคตินิยมในการสร้างโดยอาศัยเค้าโครงของศิลปะล้านช้างและมีรูปลักษณ์เฉพาะตามฝีมือผู้แกะสลัก ถึงแม้จะไม่ปราณีตสวยงามตามความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ แต่ก็แฝงด้วยความเรียบง่าย สมถะ ตั้งใจ ศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา 

        อย่างไรก็ตาม แม้ความเชื่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนาจะเจือปนไปด้วยมิติของการนับถือผี เทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ไปบ้าง ก็ต้องยอมรับว่า นั่นเป็นรากเหง้าของสังคมไทยมาตั้งแต่โบราณที่นับถือผีมาก่อนพระ แต่ในสังคมพุทธยุคใหม่ต่างหากที่น่ากลัว (ลัทธิบริโภคนิยม)  สังเกตได้จากผู้คนรอบข้างที่เร่งรีบ ดิ้นรนด้วยต่างมีเป้าหมายการมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขพรั่งพร้อมไปด้วยปัจจัยสี่ นับถือคนมีเงิน เงินกลายเป็นแก้วสารพัดนึก จึงต้องแสวงหาความร่ำรวยจนไม่รู้จักพอ สรรหาวิธีการที่ได้มาทุกวิธีทาง แม้แต่ทางเสี่ยงโชค กราบไหว้บูชาพึ่งเทพให้ดลบันดาลบ้าง มุ่งสู่ความร่ำรวยโดยไม่คำนึงถึงความชอบธรรมบ้าง จนสังคมบางส่วนมองการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาที่ยอมรับได้ ....อันเป็นต้นตอแห่งความวุ่นวายในสังคมทุกวันนี้....

       ในสภาพที่ “ความเชื่อ”มีอิทธิพลเหนือสิ่งอื่นใด การกราบไหว้พระพุทธรูปไม้ พระพุทธรูปทองคำ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ ย่อมมีค่าไม่ต่างกัน แต่หากผู้ใดกราบไหว้ให้ถึง “พุทธานุสติ” ย่อมทะลุมิติเห็นแจ้งใน “หลักแห่งความจริงที่พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง” อันเป็นแก่นธรรมแห่งพระพุทธศาสนา ในทางชีวิตสายกลาง พอเพียง ไม่ยึดมั่นถือมั่น นั่นเองคือ “ทางสว่าง” อันแท้จริง

 

หมายเลขบันทึก: 552795เขียนเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2013 15:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2013 15:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

พระพุทธเจ้า/ด้กล่าวเตือนว่า อย่าเคารพกราบไหว้ในสิ่ง งมงาย ไร้สาระ

หากเรากราบไหว้รูปปั้นต่างๆ ด้วยความไม่งมงายไร้สาระแล้วไซร้ รูปปั้นรูปหล่อ รูปแกะสลัก(ที่โรงงานรวยเอารวยเอา)นั้นแล้ว

ใยเราไม่งิเคราะห์เพื่อให้สิ่งที่เรากราบไหว้มิใช่สิ่งงมงายล่ะ เช่น หากรูปปั้นไหนมีปัญญา มีศีล มีสมาธิได้. เช่นสืบค้นผู้สร้างเขา กตัญญูต่อผู้สร้างอย่างเปิดเผย ไม่ต่องหวาดกลัวขโมยหรือโจรตัดเศียรไปขายปกป้องตนเองให้ได้ก่อนปกป้องเรา. นั่นแหละ ที่เรามิได้กราบไหว้ สิ่งงมงายไร้สาระแล้ว

และหากรูปเคารพเหล่านั้น ค้นหาผู้สร้างเขาก่อนเราค้นหาผู้สร้างเรา เราก็พ่ายแพ่ต่อรูปปั้นที่ไม่ครบขันธ์นั่นเอง

ตรองมากๆหน่อย เพื่อการจรรโลงเกียรติยศ ของ มหาบุรุษที่เรานับถือ ติดตามท่านกัน

“ความเชื่อ”มีอิทธิพลเหนือสิ่งอื่นใด การกราบไหว้พระพุทธรูปไม้ พระพุทธรูปทองคำ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ ย่อมมีค่าไม่ต่างกัน แต่หากผู้ใดกราบไหว้ให้ถึง “พุทธานุสติ” ย่อมทะลุมิติเห็นแจ้ง....

ขอบคุณบันทึกดีๆครับ

 

แล้วความเชื่อ ก็สามารถ แปรมาเป็นสินค้า และบริการได้ไม่ยากเย็นเลย

โดยมีผู้ใช้บริการ และบริโภคสินค้านั้น ต้องยอมจ่ายเป็นความพึงใจอันดับต้น จากนั้น เมื่อผู้นั้นมั่งมีขึ้นกว่าต้น การล้วงกระเป๋าต่อกัน ของเพื่อนมนุษย์ก็คือขั้นต่อไป สุดท้ายก้าวไปถึง อำนาจโอกาสในการจับจ้องและ บริหารงบประมาณของชุมชน

ศึกษาความเป็นมาของความเชื่อ ได้จาก ความจริง ได้จากปัจจุบัน

เมื่อใครก็ตาม กล่าวว่า เทพยดาฟ้าดินใดศักดิ์สิทธิ์ กล่าวว่าเจ้าพ่อ เจ้าแม่ใดศักดิ์สิทธิ์ กล่าวว่าวิญญาณไร้ตัวตน ไร้ผลงานที่ประจักษ์ชัดศักดิ์สิทธิ์ กล่าวว่า รูปปั้น รูปไม้ใดศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งใดในสากลโลกนั้นๆ ศักดิ์สิทธ์ กล่าวและยินยอมไปตามความเชื่อ ไปตามๆกันต่อๆมา จำยอมเชื่อไปตามบรรพบุรุษ ไม่สืบค้นคุณค่าแย่างลึกซึ้งแท้จริง

ผู้ที่ได้ยิน ได้รับทราบ ว่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่จำเป็นเลยที่จะรีบไปลบนาม ลบคุณค่า หรือปฎิเสธลบหลู่อำนาจที่สิ่งนั้นๆได้มา. และสมควรเสริมด้วยการกตัญญู การรุ้จัก ผู้สร้าง ผู้ให้อำนาจเขา ให้สิ่งจรรโลงต่างๆต่อเขาเหล่านั้น. นั่นแหละเป็นสิ่งสมควร แต่ทุกท่านสามารถรู้จัก เข้าถึง บริหารสายสัมพันธ์ต่อเจ้านายผู้สร้างพวกเขาได้ไหมล่ะ. หรือท่านยังลบหลู่ผู้สร้างพวกเขาอยู่ แล้วแอบไปจงรักภักดีต่อสิ่งถูกสร้างถูกมอบอำนาจมา เป็นลูกน้องเป็นบริวาร ของผู้ที่ท่าน “ลบหลู่” อยู่ที่จิต ถึงจริตด้วยซ้ำ

เอาล่ะซิทีนี้ แตกฉานกันบ้างไหมล่ะ? ที่เชื่อมโยงมานี้ เราปกป้องการกล่าวหาต่อกันว่าใครลบหลู่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของใครเป็นเบื้องต้น

ต่อจากนี้ไป หากมีผู้มาบอกเราว่า เขากตัญญูต่อ ผู้สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกสิ่ง ู้นั้นคือผู้จรรโลงสิ่งนั้นๆด้วยอำนาจและคุณค่า เป็นผู้มอบโอกาสให้สิ่งเหล่านั้น ถูกยอมรับว่า ศักดิ์สิทธิ์ เราจะได้ไม่หลงไปลบหลู่สิ่งยิ่งใหญ่เหนือความศักดิ์สิทธิ์ของเรา และ ไปกล่าวหาเขาว่า ลบหลู่ความเชื่อๆๆๆๆของเราอีกต่อไป นั่นคือหนทางในการอยู่น่วมกัน หากเราเข้าถึงกตัญญู และ connection ของเขาได้ เมื่อเข้าถึงเราจะเข้าใจ และพัฒนาจิตเราไปให้ถึงขั้นของเขา

อย่าลืมนะ เขามิได้ลบหลู่สิ่งใดที่เราอ้างว่าศักดิ์สิทธิ์ ซ้ำยังกตัญญูต่อ ผู้สร้างผู้บริหารให้อำนาจให้สิ่งจรรโลงให้โอกาสในหนทางที่มาของสิ่งที่เราอ้างนั้นเสมอ ทำการกตัญญูนั้นอย่างเปิดเผยไม่มีการอายใคร ไม่อดสูว่างมงายไร้สาระ ทำกันพร้อมเพรียง มีระเบียบกำหนด ไม่มีสภาวะการเป็นนายเป็นทาสต่อกัน ไม่มีตำราที่มนุษย์ด้วยกันแต่งให้เชื่อ ไม่ต้องอาศัยอีเว้นท์ใดใด แต่เรานี่เอง ที่ไปหลง ลบหลู่ สิ่งที่เขากตัญญูตอบ. แค่วรรณกรรมอย่างไร้มารยาท ที่เน่งเร้าให้ผู้นั้นแสดงรูปออกมา เพื่อที่เราจะได้กตัญญูแค่นั้นหรือ ที่เราไปก่อการ ลบหลู่ทั้งนามและรูป ต่อเขากัน

คิด และ อ่านดีดี หลายๆรอบ เก็บสารไว้อ่านบ่อยๆ จะได้ประโยชน์ ก่อสันติสุข ก่อสันติธรรม ในยิต จริตเราจะเปลี่ยนไปในทางปัญญา ในทางกุศลได้ สารนี้ อาจเป็นภัยต่อผลประโยชน์เกินสมควรของมนุษย์ด้วยกันเอง มันอาจถูกลบทำลาย(ลบ+ หลู่) ในเวลาอันรวดเร็ว แต่หากเราปาดเก็บไว้อ่าน ก็จะกระจายไปยังลูกหลานไทย เพื่อความมีสติปัญญา เพื่อการอยู่ร่วมกันของสังคมที่ ง่ายต่อสันติสุข เพราะ กตัญญูธรรม ก่อสันติธรรมได้ ธรรมมะ(ความจริง) ก็จะชนะอธรรม(ความเท็จและพยากรณ์) ขอให้สันติสุข จงประสพแด่ประชาชน และ แผ่นดินที่เราก้าวขาออกมาจากมดลูกแม่ แล้วเหยียบเข้ามานี้(ประเทศไทย) ด้วยเทอญ

เจริญธรรม

น้อมรับ และขอบคุณทุกความเห็นครับ เจตนาที่แท้จริงในบันทึกของผมก็คือ ศรัทธาชื่นชมในพุทธานุสสติของบรรพบุรุษของชาวอีสาน โดยสื่อที่เรียบง่าย ในรูปลักษณะของพุทธปฏิมาตามกำลังศรัทธา ต่อพระศาสนา ส่วนความเชื่อเป็นเรื่องของปัจเจก เป็นเสรีภาพของมนุษย์ทุกคนที่พึงแสดงออก การกราบไหว้รูปเคารพใดๆเป็นเรื่อง "ความเชื่อ" ซึ่งชาวพุทธอย่างผมหากจะกราบไหว้พระพุทธรูปครั้งใดก็กราบด้วยจิตเป็น"พุทธะ" น้อมจิตถึงพระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ พระกรุณาธิคุณของพระพุทธองค์..เป็นเช่นนี้เอง

ขอน้อมรับในความจงรักภักดี ต่อ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นกันครับ

แต่หากท่านเป็นพุทธะ (ผู้เพียรเรียนรู้ ผู้ตื่นในองค์ธรรม ผู้เบิกบาน) ท่านจงมีเมตตา เอื้ออาทรต่อผม ที่มุ่งเป็นพุทธะเช่นกัน

แต่ขณะนี้ ผมพบเจอพี่น้องมนุษย์มากมายที่เนรคุณปฎิเสธปิดกั้น ต่อ ผู้ให้ออกซิเจน พระพุทธเจ้า(เคย)เสพ

ผมจะเป็นผู้เบิกบานได้หรือครับ แล้วอย่างนี้ เมื่อไรผมจะมีโอกาสเป็นพุทธะเล่าครับ

เอางี้ซิ ในเมื่อท่านกล่าวว่าท่านเป็นพุทธะ ท่านปฎิเสธ เนรคุณปิดกั้น ความกตัญญูต่อผู้ให้ออกซิเจนพระพุทธเจ้าเสพไหมล่ะ หากท่านมิได้ทำเช่นนั้น ท่านก็จะเบิกบานได้อย่างสง่าผ่าเผยเอง แต่หากจิตท่าน ปัญญาท่าน สามารถค้นหาหลักฐานด้วยความเพียร ด้วยวิระยะ วิมังสะ(ปัจจุบัน หลักฐานในความเป็นเจ้าของธรรมชาติ ปรากฎชัดแล้ว และยังไม่มีใครมาอ้างสิทธิ์นั้นทับท่านเดิมเลย แล้วหากชาวไทยทุกท่าน ไม่กล่าวลบหลู่นามรูป ผู้นั้น เพียงกตัญญูให้เท่าเทียมชาวโลกไปพลางๆก่อน อย่าเพิ่งรีบมีอาการดีดดิ้นต่อการกตัญญูขั้นสูงสุดหรือแสดงอาการเนรคุณ หรือ ไม่ยอมพ้นจากการกล่าวหา ของใครๆว่าตกในหลุมพรางที่มีเนรคุณเป็นชื่อหลุมนั้น

เท่านี้ เราก็มีความกตัญญูเท่าเทียมกัน ผมก็เบิกบาน เป็นพุทธะได้ทันที(เพราะผมเพียรเรียนรู้ ตื่นตัวในองค์แห่งธรรมที่ผ่านชีวิตผ่านผัสสะเสมอ และ เบิกบานที่ไม่พบเห็นผู้เนรคุณต่อผู้ให้ออกซิเจนพระพุทธเจ้าหายใจครั้งมีชีวิตอยู่ด้วย)ไงล่ะ ง่ายไหมล่ะ ที่จะนำพาทั้งโลก มีปรัชญาแห่ง พุทธะ ถือครอง

ลองก่อน อย่าเพิ่งรีบต่อต้านหรือ เชื่อ การศึกษา ปัญญาธรรมจะชนะการประณีประนอมต่อการแสวงหาความจริงของทุกๆท่านเอง.

เมื่อ สิ่งที่มีคุณค่า ในแง่ความเก่าแก่ ในแง่ศิลปะ วัตถุโบราณ เช่นพระพุทธรูปที่ชุมชนยกให่เป็นตัวแทนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ตัวปทนแห่งมหาบุรุษใด

มาถึงกาลที่ต้อง ระวัง ดูแลรักษา ระวังขโมย เพราะมีมูลค่า กาลนั้นก็ถึงเหตุแห่งทุกข์ ที่พระพุทธเจ้ากล่าวเตือนไว้ว่า อย่าสร้างเหตุแห่งทุกข์เลย ทีนี้ก็ต้องวุ่นวายนำกรงเหล็กไปล้อม มีการจัดสรรงบประมาณต่างๆ มีช่องทางทุจริตติดปลายนวมกันมากมาย มีการร้องเรียน ตรวจสอบ มีเหตุแห่งทุกข์เกิดมากมาย ขัดแย้งกับแนวทางแห่งองค์มหาบุรุษ

เราได้รับทราบว่ามีผู้พยายามเข้าไปก่อเหตุ เพื่อทำลายสิ่งสร้าง เพื่อขโมยวัตถุโบราณอยู่เสมอ ปม้แต่ที่สร้างใหม่ในเนปาล ภายหลังยังมีการจัดสรรงบไปจ้าง รปภ เพื่อดูแล รอบๆดลย ปล้วท่านทราบหรือไม่ว่า งบประมาณเหล่านั้น มันหวานหอม ชวนให้พญามารมันกระซิบให้พี่น้องมนุษย์เราหลงไปคดโกงได้ นั่นก็คือ เหตุแห่งทุกข์ของพ่อแม่เขานั่นเอง. ฉะนั้น จงเตือนสติต่อกันเสมอ ในการก่อสร้างสิ่งร่วมเคารพต่างๆ ว่า ทำอย่างมีสติ อย่างมงาย แค่นั้นแหละ.

ดับเหตุแห่งทุกข์อีกหนึ่ง

ของง่ายแต่มีผู้มาคั่นเลยเป็นยาก

ปรัชญาจาก พระพุทธเจ้า คือ สิ่งที่ง่ายดาย แต่มีผู้มาคั่นกลางเสียนี่

เลยกลายเป็นเรื่อง ยากไปเวีย

ลองใหม่ในสักราชใหม่เถิด แล้วบ้านเมืองจะกุศลได้จริง และ ยั่งยืน

ขอบคุณครับที่ชี้แนะทางสว่าง หากการกระทำใดขลาดเขลา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ โปรดอโหสิกรรมแก่ผมด้วย

หากการท่องมนต์ สวดมนต์ หรือ การภาวนาใด สามารถส่งผลให้เป้าหมายศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ได้จริง การภาวนาถึงนามหนึ่งพร้อมๆกันทั่วโลก ทุกวัน วันละมากกว่า5เวลา เวลาละเป็นหลายร้อยคำภาวนา ทำมานานเป็นหลายล้านปี (ถ้ามีหลักฐาน ก็ประมาณ6000 กว่าปี) กระทำด้วยภาระหน้าที่ไม่มีความเป็นทาสเป็นนายต่อกันของพี่น้องมนุษย์ ไม่มีกุสโลบาย ตำรา ภาวะจำยอมใดใด อามิสบุญ อามิสบารมี เป็นสินจ้างรางวัล แล้วไซร้ ผู้นั้น คงศักดิ์สิทธิ์ไม่มีสิ่งใดเกินแน่แท้ และผู้นั้น ก็ต้องปกครองเหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชนกลุ่มน้อยภาวนา เพื่อความศักดิ์สิทธิ์แน่นอน. ระวัง อย่าไปลบหลู่เข้าเชียวหละ. เพราะ ผู้นั้น สร้างและค้ำจุนให้อำนาจ สิ่งที่ท่านรู้จักว่าศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด กตัญญูไปพลางๆก่อนเถิด อย่ารีบเย้ยหยัน ปฎิเสธ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท