คริสต์ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์จากยุโรปที่เดินทางไปแสวงบุญยังนครเยรูซาเลมถูกพวกเติร์กที่ยึดครองปาเลสไตน์อยู่ขัดขวางและบางคนถูกสังหาร สำนักวาติกันซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดของศาสนาคริสต์ได้เรียกร้องให้ชาวคริสเตียนไปร่วมรบเพื่อชิงนครเยรูซาเลมจากชาวมุสลิม ในสงครามครูเสด http://goo.gl/jic2Xg ได้
ท่านผู้รู้ในที่นี้้ http://goo.gl/mSOmBJ กล่าวว่าสงครามครูเสดครั้งสุดท้าย เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1229 โดยการนำทัพของ พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 2 แห่งเยอรมัน ซึ่งในระหว่างนั้นเหล่ามุสลิมกำลังเกิดความขัดแย้งระส่ำระสาย กองทัพคริสเตียนจึงได้ชัยชนะ และยึดเอาเมืองต่างๆ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไว้ได้ รวมทั้งเยรูซาเลม หลังจากปกครองอยู่ 10 ปี พวกอียิปต์ก็กลับเข้ามาตีเมืองเยรูซาเลมคืนในปี ค.ศ. 1244 และขับ ไล่นักรบครูเสดออกไปทีละเมืองจนหมดใน เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1291และเป็นการยุติสงครามครูเสดอันยาวนานถึง 1,200 ปี โดยสิ้นเชิง
ศตวรรษที่ 16 ค.ศ. 1660 -1752 โดยประมาณ มีการค้าทาสกันอย่างมโหฬาร http://goo.gl/4fLiC9 ทั้ง ๆ ผู้คนเหล่านี้มีศาสนาประจำใจ ศาสนา
ทำไมมนุษย์ถึงช่างใจดำอำมหิตกันขนาดนั้น ลองหวนกลับไปถึงเหตุและผลที่กล่าวมา เพียงเพื่อศึกษาให้เข้าใจ และอภัยต่อกันในสิ่งที่ผ่านมาเพื่อเดินหน้าต่อไป
นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน http://goo.gl/yJfmpy ตั้งข้อสังเกตว่า“จริยธรรมแบบโปรเตสแตนท์" (protestantethic) มีความโดดเด่นมาก ก็คือ การช่วยพิทักษ์ปกป้องระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแบบอเมริกันในช่วงศตวรรษที่ 19 ศาสนจักรโปรเตสแตนท์มีบทบาทอย่างมากในการจัดการศึกษาและสถานศึกษาในทุกระดับของอเมริกาซึ่งส่งผลต่อวิถีชีวิต วิธีคิด และค่านิยมเชิงศีลธรรมของอเมริกันชน บรรดาสถานศึกษาเหล่านั้นมุ่งสอนค่านิยมเรื่องของการค้าเสรี การเคารพในปัจเจกชนนิยม และการมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของเอกชน (private property) สถาบันการศึกษาชั้นสูง (เช่น ฮาร์วาร์ด (Harvard) และเยล (Yale) ซึ่งเป็นโปรเตสแตนท์ในขณะนั้น) ล้วนแล้วแต่สอนค่านิยมทางธุรกิจและเศรษฐกิจแบบอนุรักษ์นิยมควบคู่ไปกับปรัชญาจริยธรรม นักวิชาการชั้นนำ เช่น ศาสตราจารย์ฟรานซิส เวย์แลนด์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University) เขียนตำราทางเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อมโยงเศรษฐศาสตร์กับเทววิทยา โดยอธิบายว่าพระเจ้า (god) ให้แรงงานเป็นสิ่งจำเป็นต่อการมีชีวิตที่ดีของมนุษย์ ผู้เกียจคร้านจะถูกทำโทษ แต่ผู้ใดขยันทำงานก็ย่อมจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งร่ำรวยหรือ รัสเซล คอนเวล นักเทศนาชื่อดังซึ่งออกตระเวนกล่าวสุนทรพจน์อันโด่งดัง “Acres of Diamonds" ไปทั่วประเทศ โดยเขาได้กล่าวสุนทรพจน์นี้ ซ้ำๆ กันมากกว่า 5 พันครั้งมีเนื้อหาที่มุ่งกระตุ้นปลุกเร้าให้ผู้ฟังเชื่อว่าการสร้างสมความมั่งคั่งคือเจตจำนงของพระผู้เป็นเจ้า (to gather wealth is god's will)
ที่ไปที่มาของโปรแตสแตนท์อยู่ที่นี่ http://goo.gl/YoZdzj/http://goo.gl/53QSV
จากข้อเขียนนี้พอจะทำให้เห็นว่าทุนนิยมเข้าไปซึมลึกในสังคมผ่านกระบวนการทางศาสนา เมื่อวัดบ้านโรงเรียนมาจับมือกันมันก็
ซึมลึกไปในสังคมของตัวเองและแผ่ขยายไปทั่วโลกที่หลงใหลในการศึกษาของโลกตะวันตก
ไม่มีความเห็น