ชีวิตการทำงาน ; ๗ ปีเต็ม...Informal R2R รพ.ยโสธร


ข้าพเจ้ามาทำงานที่โรงพยาบาลยโสธรเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๘ หลังจากที่มาบรรจุราชการเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๙ มาทำงานได้ ๑๑ เดือน ก็ยื่นใบลาออกเพื่อไปศึกษาต่อปริญญาโท สาขาการแนะแนวและให้คำปรึษา ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาขอนแก่น แต่ผู้บริหารในตอนนั้นคือ นพ.กวี ไชยศิริท่านไม่อนุมัติให้ลาออก แต่ท่านให้ลาไปศึกษาต่อ ...

และสองปีกับการใช้ชีวิตการเป็นนักศึกษาปริญญาโท พอจบก็ได้เข้าเรียนต่อปริญญาเอกในสาขาเดียวกัน คือ สาขาจิตวิทยาให้คำปรึกษา พร้อมกันนั้นก็ศึกษาปริญญาโท อีกสาขาหนึ่ง คือ บริหารการพยาบาล เป็นการเรียนปริญญาสองสาขาควบคู่กันไปในเวลาเดียวกัน ...

เป็นการเข้าศึกษาปริญญาโท ๒ สาขา

ปริญญาเอก ๒ สาขา

จากวุฒิทางการศึกษานั้น มีทางเลือกมากมายในชีวิตการทำงาน แต่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะกลับมาทำงานที่บ้านเกิด พร้อมกันนั้นก็สามารถทำงานที่ก่อประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพตามการศึกษา

มาครั้งแรกข้าพเจ้าก็พยายามที่จะสร้างงานอะไรสักอย่างขึ้นมาเพื่อให้ได้เต็มภูมิของการไปร่ำเรียนในระดับ ป.โทและ ป.เอก พร้อมกันนั้นก็ได้เข้าเรียนปริญญาเอกสาขาที่สอง คือ เทคโนโลยีการศึกษา ที่เลือกทำวิจัยในเรื่อง "การออกแบบสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ต่อการสร้างความรู้" ณ ตอนนั้นทาง รพ.ศิริราชเริ่มทำ R2R และข้าพเจ้าก็เริ่มรู้จัก ดังนั้น จึงนำแนวคิดเรื่อง R2R มาจุดประกายในโรงพยาบาล มีพี่หลายๆ คนที่อกหักจากการทำวิจัย เมื่อมาพูดคุยกันถึงแนวทาง R2R ที่นำ KM มาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ก็ต่างมีความสนใจ จึงได้จัด workshop ขึ้นครั้งแรกในปี ๒๕๔๙ 

ทางสถานบันวิจัยระบบสาธารณสุขและภาคีเครือข่ายได้เป็นเจ้าภาพในการขับเคลื่อน R2R ประเทศไทย และข้าพเจ้าเองก็ได้มีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ ในการทำกิจกรรมขับเคลื่อน R2R ประเทศไทย หนึ่งในตำแหน่งคณะกรรมการดำเนินงาน ปีแรกของงานมหกรรม R2R ผลงาน R2R ของโรงพยาบาลยโสธร ก็ได้รับคัดเลือกรับรางวัล R2R ดีเด่น ... ในนามผลงานของพี่เพ็ญประกาย สร้อยคำ

ตามมาด้วยงานวิจัย R2R ของน้องโย๋-ชลภัสสร ที่ทางคณะกรรมการดำเนินงานส่วนกลางคัดเลือกมาถ่ายทำสารคดีเพื่อเผยแพร่ในระดับประเทศ

จากนั้นเราก็ขับเคลื่อน R2R แบบไม่เป็นทางการเรื่อยมา

ผลงานเรื่องที่สองที่ได้รับรางวัล คือ งานวิจัย R2R ของ นพ.อภิรักษ์ และ พญ.ธิดา ที่ทำในเรื่องโรคหนังเน่า และตามมาด้วยงานวิจัยของแพทย์ทางกุมารเวชกรรม แต่ผลงานผ่านเพียงเข้ารอบพิจารณาคัดเลือก

หลายครั้งที่ข้าพเจ้าพยายามจะจัดการขับเคลื่อน R2R ให้เป็นแบบทางการ เป็นรูปธรรม ตามคำแนะนำของ นพ.พิเชษฐ์ อดีตผู้อำนวยการในยุคปี ๒๕๔๙ แต่ก็ไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงใช้วิธี แทรกซึมและเชียร์ให้เกิดการเรียนรู้และการทำแบบไม่เป็นทางการ

จนมาสมัย นพ.อดิเกียรติ เอี่ยมวรนิรันดร์ ที่ดูเหมือนว่า การขับเคลื่อน R2R ด้วยกระบวนการ KM จะสามารถจัดตั้งขึ้นมาได้ แต่ได้รับการเกิดอุปสรรคจากผู้ที่ไม่เห็นด้วย และมองว่า R2R เป็นอุปสรรคของการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล ซึ่งนั่นถือว่า เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง และดูเหมือนความขัดแย้งจะบานปลาย ข้าพเจ้าจึงได้หารือกับทางผู้อำนวยการในตอนนั้นว่า ขอพักเรื่องไว้ก่อน แต่ก็ไม่ได้หยุดทำ ก็ยังคงดำเนินการแบบคลื่นใต้น้ำ ในการขายไอเดียให้ผู้คนได้เกิดการนำ R2R มาใช้

พร้อมกันนั้น... ก็เริ่มขยายผลไปในพื้นที่ของจังหวัด แบบจับมือกันทำ เริ่มจาก รพ.คำเขื่อนแก้ว รพ.ป่าติ้ว รพ.ค้อวัง สสอ.ไทยเจริญ รพ.กุดชุม และ สสอ.คำเขื่อนแก้ว...

มีผลลัพธ์เกิดขึ้นในเชิงรูปธรรมแบบเรียบง่ายแต่เกิดประโยชน์และคุณค่าอย่างมากมาย

แต่ในโรงพยาบาลเอง ข้าพเจ้าพยายามที่จะเสนอตัวเข้าไปช่วยเหลือและผลักดันให้เกิด แต่ก็ไม่มีผลขยับอะไรในเชิงรูปธรรม ขณะเดียวกันก็ไปเชิญอาจารย์จากที่อื่นมาสอนวิจัย

ในทางคู่ขนาน เพื่อการทำงานตอบแทนคุณกระทรวงสาธารณสุขและประเทศไทย ข้าพเจ้าก็อุทิศตนเองทำงานเพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงที่ช่วยขับเคลื่อน R2R & KM ซึ่งไม่ใช้คอร์สของการสอนวิจัย แต่เน้นให้ผู้เรียนได้เกิดกระบวนการคิดทางปัญญาและเกิดการสร้างความรู้

มานั่งทบทวนการทำงานในวันนี้ อีกหนึ่งเดือนกว่า จะถึงวันที่ ๑ ธันวาคม ก็จะครบ ๘ ปีเต็มของความตั้งใจกลับมาทำงานทดแทนคุณบ้านเกิด และสร้างประโยชน์คุณค่าให้เกิดขึ้น ซึ่งน่าจะเป็น ๘ ปีที่เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากแต่เต็มไปด้วยขวากหนามและอุปสรรค กระแทกเข้ามาในใจพอสมควร แต่ข้าพเจ้าก็ใช้โอกาสดังกล่าว เป็นโจทย์ในการขัดเกลาใจตนเองและใช้เป็นโจทย์ในการฝึกฝนลับคมทางปัญญา

มาถึงวันนี้...คำกล่าวที่ว่า "ดร.กะปุ๋มไม่ช่วยงานโรงพยาบาลเลย" สำหรับข้าพเจ้าตามทัศนะมองว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะหากไม่คิดจะช่วยข้าพเจ้าก็คงไม่กลับมาทำงานที่นี่ เพราะตามคุณวุฒิที่มี สามารถที่จะเลือกสถานที่ทำงานได้กว้างขวางกว่าการมานั่งทำงานระดับปฏิบัติการเป็นแน่แท้ แต่...อย่างไรก็ตาม ๘ ปีนี้เป็นแปดปีที่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดการเติบโตภายในอย่างมากมายและได้เรียนรู้อะไรที่ดีดีอย่างมาก

ไม่ว่าจะมีคำกล่าวหา หรือไม่มีคำชื่นชมใดใด

แต่ข้าพเจ้าก็มั่นคงในจุดยืนของชีวิตที่ดำรงอยู่

เพื่อการเรียนรู้และสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นทั้งต่อตนเองและโลก

...

๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๖

หมายเลขบันทึก: 550477เขียนเมื่อ 8 ตุลาคม 2013 12:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 ตุลาคม 2013 06:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

"..แต่ข้าพเจ้าก็มั่นคงในจุดยืนของชีวิตที่ดำรงอยู่.."

* สะท้อนความสุขสงบที่มั่นคงนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท