เรือปานามา เกยตื้นหาดชลาทัศน์ บทเรียนที่ไม่ควรถูกลืม
โดย พิชญวัฒน์ ลิ้มรัชชานนท์
เรือปานามา บางคนอาจจะไม่รู้เรื่องของเรือลำนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2537 พายุได้ซัด เรือจีน่าร์-2 (Genar-II) สัญชาติปานามา เข้ามาเกยตื้นที่ชายหาดชลาทัศน์ด้านเหนือของชุมชนบ้านเก้าเส้ง หลังจากนั้นไม่นานชายหาดด้านทิศเหนือของตัวเรือก็เกิดการกัดเซาะ เนื่องจากลำเรือไปขวางทิศทางของตะกอนทรายชายฝั่ง ในขณะที่ทางทิศใต้ของเรือนั้นเกิดการทับถมของตะกอนทรายจำนวนมหาศาล
เรือปานามา เกยตื้นที่ชายหาดบ้านเก้าเส้งเมื่อปี 2537
ที่มา : http://talung.gimyong.com/index.php?topic=34867.0
ปรากฏการณ์ช้างต้นสามารถอธิบายได้จากทฤษฎีกระบวนการของชายฝั่งทะเลที่ว่า ชายฝั่งประกอบด้วยหาดทรายและสันดอนใต้น้ำซึ่งเป็นบริเวณที่คลื่นเริ่มแตกในช่วงฤดูมรสุมที่คลื่นลมแรง หาดทรายจะถูกกัดเซาะและทรายถูกหอบออกสู่ทะเลไปกองเป็นสันดอนใต้น้ำ แต่เมื่อถึงฤดูคลื่นลมสงบ คลื่นเดิ่งจะพัดพาทรายที่สันดอนนั้นถมกลับสู่ฝั่ง ก่อตัวเป็นหาดทรายดังเดิมดังแสดงในรูปซึ่งจะเห็นได้ว่า รูปร่างของชายหาดจะสมดุลด้วยตัวเองตามฤดูกาล เรียกว่า “ สภาวะสมดุลพลวัต ”
รูปทรงสัณฐานของชายหาดตามฤดูกาล (รูปบน : คลื่นเดิ่งพัดพาทรายจากสันดอน (sandbar) ขึ้นสู่หาด และรูปล่าง : คลื่นพายุหอบทรายจากหาดไปกองเป็นสันดอน)
ที่มา : http://img.geocaching.com/cache/3de24d6d-7ead-4243-81b3-07d86030fdfe.jpg
การที่คลื่นแตกใกล้ชายฝั่งจะก่อให้เกิดกระแสน้ำที่พัดพาตะกอนทรายให้เคลื่อนที่ลัดเลาะไปตามชายฝั่ง ในกรณีชายฝั่งสงขลาพบว่าทรายจะมีทิศทางการเคลื่อนที่สุทธิไปทางทิศเหนือ ดังนั้นเมื่อมีสิ่งกีดขวางกระบวนการเคลื่อนที่นี้ เช่น การสร้างเขื่อนหรือคันกันทรายริมชายฝั่ง ทรายก็จะไหลมาติดกับเขื่อนฯเหล่านั้น ทำให้ชายหาดด้านถัดไปขาดแคลนทรายที่จะมาหล่อเลี้ยง ผลลัพธ์ก็คือ หาดทรายจะถูกกัดเซาะอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็พังทลายซึ่งยากต่อการแก้ไข
กระแสน้ำเลียบฝั่งที่เกิดจากคลื่นแตกใกล้ชายฝั่งพัดพาทรายให้กลิ้งไปบนหาดและฟุ้งกระจายไปตามกระแสน้ำ
ที่มา : http://www.crd.bc.ca/watersheds/protection/geology-processes/coastalsediment.htm
เขื่อนกันทรายและคลื่นที่ชายฝั่งอำเภอปากพนังทำให้สมดุลการเคลื่อนที่ของทรายสูญเสียไป
ที่มา:http://www.bwn.psu.ac.th/pp.html
หลักฐานจากภาพถ่ายในปี พ.ศ.2538 หลังจากที่เกิดเหตุเรือปานามาได้เกยตื้น ประจักษ์ชัดว่าหาดทรายทางด้านเหนือของซากเรือถูกกัดเซาะอย่างฉับพลัน
หลังจากนั้นไม่นานทางราชการได้สั่งรื้อถอนซากเรือลำนี้ออกพ้นไปจากชายหาดชลาทัศน์ คลื่นก็ได้ทำหน้าที่พัดพาเม็ดทรายที่กองทับถมนั้น กลับคืนสู่ชายหาดชลาทัศน์ที่สวยงามทอดยาวเป็นแนวตรงดังเดิม ดังภาพที่ถ่ายไว้ในปี พ.ศ 2544
การรื้อถอนซากเรือปานามา ในปี 2538
ที่มา : เครือข่ายเฝ้าระวังรักษาชายหาด (BWN)
รูป (ก) รูป (ข)
ก) รูป(ก) ภาพถ่ายปี 2538 แสดงการทับถมและกัดเซาะชายหาดชลาทัศน์ที่เกิดจากเรือปานามาเกยตื้น
ข) รูป(ข) ภาพถ่ายปี 2544 ชายหาดกลับคืนสภาพเดิมเมื่อรื้อถอนเรือปานามาออกไป
ที่มา : เครือข่ายเฝ้าระวังรักษาชายหาด (BWN)
จะเห็นได้เลยว่าจากเหตุการณ์เรือปานามาเกยตื้นที่ชายหาดชลาทัศน์ในครั้งนั้น เปรียบเสมือนการสร้างเขื่อนหรือคันดักทรายในปัจจุบันที่เห็นกันอยู่ทั่วไป ดังนั้นยิ่งสร้างเขื่อนที่ชายฝั่ง ก็จะยิ่งเร่งให้เกิดการกัดเซาะหาดทราย ถ้าไม่มีเขื่อนหรือสิ่งกีดขวางที่มนุษย์นำไปรบกวนสมดุลธรรมชาติ ไม่นานหาดทรายก็จะกลับสู่สภาพเดิม ในเมื่อธรรมชาติและเรือปานามาได้ให้บทเรียนอันทรงคุณค่าจากเหตุการณ์นี้
" แล้วทำไมถึงยังจะสร้างเขื่อนกันทรายและกันคลื่น กันต่อไปอีก "
ขอบคุณบทความดีๆครับ
เป็นบทเรียนที่เข้าใจได้ง่าย และเป็นประโยชน์มากต่อสาธารณะ
นับเป็นบทความที่เป็นประโยชน์มากในการรักษาชายหาด
เพราะแสดงให้เห็นชัดเจนถึงสาเหตุและแนวทางฟื้นฟูรักษาหาดทราย
ขอบคุณผู้เขียนที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้
ปรับปรุงโฉมใหม่ อ่านง่ายขึ้นเยอะ ขอบคุณๆ เนื้อหาดี น่าอ่าน ได้ใจไปกว่าครึ่งแล้ว
ดีมากครับ ขอชื่นชมครับ ขอนำไปปรับใช้นะครับ