602. อิสรภาพสุดท้ายใน Gravity


เมื่อวานไปดูหนังเรื่อง Gravity มา เป็นอะไรที่ลุ้นจนตัวลอยครับ เพราะเป็นเรื่องราวของภาวะไร้แรงโน้มถ่วง เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนอกโลก ประมาณว่ามีการทำลายดาวเทียมเก่า แล้วเกิดอุบัติเหตุ ส่งผลให้เกิดขยะอวกาศจำนวนมหาศาล ที่โคจรรอบโลกด้วยความเร็วกว่า 20,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดาวเทียมจำนวนมากถูกทำลาย ยานกระสวยอวกาศที่อยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจ ซ่อมกล้องดูดาวก็ต้องเผชิญกับขยะอวกาศหายนะนี้ด้วยแบบไม่ทันตั้งตัว

                        

นักบินอวกาศสามคนกำลังอยู่นอกยานพอดี คนหนึ่งตาย อีกคนหนึ่งกระเด็นไปไกลในอวกาศ แต่มีเหลืออีกคนที่รอด ที่สำคัญใส่ชุดอวกาศที่มีจรวดขับดันเล็กๆ สามารถเคลื่อนไปมาได้ ที่สุดก็ช่วยเหลือกันได้ แต่เมื่อพากันกลับกระสวยก็พบว่า คนในกระสวยตายกันหมด เพราะถูกทำลายโดยขยะอวกาศ เนื่องจากไม่มีทางเลือกอะไร เลยต้องพากันไปที่สถานีอวกาศนานาชาติที่ลอยอยู่อีก 5 กิโล ต้องบอกว่าขณะนั้นระบบการสื่อสารทั้งโลกถูกตัดขาด ทั้งสองเลยไม่รู้ชะตากรรมคนในสถานีอวกาศ

เมื่อไปถึงปรากฏว่านักบินอวกาศผู้ชาย คว้ายานไม่ได้ ได้แต่คว้าผู้หญิงไว้ แต่ที่สุดก็ตัดสินใจปล่อยมือ เพราะขืนรั้งไว้อาจตายทั้งคู่ นักบินอวกาศลอยออกไป แม้รู้ว่าตายแน่นอน แต่ขณะลอยไปก็พยายามให้กำลังใจผู้หญิง พร้อมสอนวิธีการที่จะเอาตัวรอด เพราะทางรอดอย่างเดียวคือเข้าไปในยานแล้วขับยานโซยุซ กลับโลก แต่ก็ล้มเหลวเกิดอุบัติเหตุ ขยะอวกาศพุ่งมาชนอีกรอบหลังโคจรรอบโลกแล้ว แต่ก็รอดสามารถเอายานโซยุชหนีออกมาได้ โดยความหวังสุดท้ายคือขับโซยุชลำนี้ไปสถานีอวกาศของจีนที่อยู่ห่างไป 5-6 กิโล แต่ก็เจอปัญหาโลกแตกคือเชื้อเพลิงหมด ...

                       

นางเอกถอดใจ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอยู่แล้ว เลยตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยตัดอ๊อกซิเจนออก แต่ขณะนั้นเธอได้ยินเสียงวิทยุจากในโลก ที่มาจากประเทศจีนที่เช่นวิทยุ คนจีนพยายามคุยด้วยได้ยินเสียงเด็กวิ่งเล่น หมาเห่า และเธอก็รู้สึกเป็นสุข ขณะเดียวกันตอนจะขาดสติ เธอฝันเห็นพระเอก คนที่หายไปในอวกาศเข้ามาในยาน สุภาพบุรุษนักบินอวกาศ ที่ดูกระตือตือร้น และให้กำลังใจเธอมาตลอด แม้รู้ตัวว่าจะตาย.. ที่สุดเธอตื่นขึ้น และเกิดความรู้สึกใหม่ เธอเห็นความหมายในชีวิตแล้ว..เธอไม่อยากตาย เธอจะกลับไปมีชีวิต และจะเอาตัวรอดให้ได้ ที่สุดเธอก็สามารถเดินทางไปถึงสถานีอวกาศของจีน (ที่กำลังจะตกมายังโลก เพราะโดนชนเช่นกัน) และกลับมายังโลกจนได้ เรียกว่าลุ้นกันสุดขีด

หนังเรื่องนี้นอกจากดูแล้วจะตื่นเต้นมากๆ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของจิตวิทยาสาขาหนึ่งคือ Logotherapy หรือจติวิทยาที่เน้นการให้ผู้่ป่วยค้นหาความหมายของชีวิต (Logo แปลว่า Meaning หรือความหมาย) ศาสตร์สาขานี้ผมไม่รู้มากนัก แต่ที่น่าสนใจคือมันพัฒนาขึ้นโดยนักจิตวิทยาคนสำคัญของโลกคือ Viktor Frankl อาจารย์ท่านนี้พัฒนาแนวคิดการค้นหาความหมายนี้ ขึ้นจากการที่ท่านเคยเป็นนักโทษในค่ายกักกันของนาซี ที่ถูกพรากทุกทิ่งในชีวิตไป ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว หรือศักดิ์ศรีในชีวิตทุกด้าน แต่ท่านก็เริ่มตั้งข้อสังเกตกับตนเอง ว่าคนที่เอาชีวิตรอดมาได้ เท่าที่ท่านสังเกตเห็นจะต่างจากคนที่ "ถอดใจ" หรือ "ตรอมใจ" จนยอมแพ้และอาจตายแบบไม่ควรตายอย่างไง ท่านค้นพบว่า คนที่เอาชีวิตรอดมาได้ไปคนที่ค้นหา "ความหมาย" ของชีิวิตตนได้ ปรากฏการณ์ดังกล่าวสรุปได้ด้วยคำพูดของท่านดังนี้ครับ

                     

ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ยังมีช่องว่างอยู่ ในช่องว่างนั้นเอง ที่เรามีพลังอำนาจมากพอที่เราจะเลือกหนทางที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้น สิ่งที่เราเลือกนั้นเป็นพื้นฐานของการเติบโตและอิสรภาพของเรา"

 

นี่แหละครับสิ่งที่อาจารย์วิคเตอร์ได้ค้นพบระหว่าง ที่อยู่ในค่ายล้ีภัยนาซี ท่านเคยเห็นมาครับ บางคนลูกเมียถูกพรากไป ไม่รู้ชะตากรรม ถูกทรมาน และหิวโหย (สิ่งเร้า) บางคนเลือกที่จะสิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยาก ตรอมใจ (วิธีการตอบสนองต่อสิ่งเร้า) จนป่วยตายก็มี แต่บางคนเจอสิ่งเร้าอย่างเดียวกัน กลับเลือกที่จะทัศนคติที่ดี ท่านเห็นกับตานักโทษบางคน เลือกที่จะให้ขนมปังชิ้นสุดท้ายกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันดังส่ิงที่ท่านสรุปไว้อย่างน่าสนใจดังนี้ครับ

 “มนุษย์สามารถจะถูกพรากเอาทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตออกไปได้ ยกเว้นส่ิงสุดท้าย ที่ถือว่าเป็นอิสรภาพที่แท้จริงของมนุษย์ นั่นคือ อิสรภาพที่จะเลือกทัศนคติที่ดี ไม่ว่าขณะนั้นจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ย่ำแย่เพียงใด"

 คุณจะเห็นว่าในหนังเรื่อง Gravity ภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวัง นางเอกติดอยู่ยานอวกาศที่ไร้เชื้อเพลิง ความสิ้นหวังกับอีดตที่ล้มเหลว (สิ่งเร้า) ในขณะนั้นมีช่องว่างอยู่ นางเอกคิดฆ่าตัวตาย (ตอบสนองต่อสิ่งเร้า) ที่สุดการนึกถึงเรื่องดีๆ ที่คนอื่นได้ยินยอมสละชีวิตตนเอง เพื่อช่วยให้เขายังอยู่ ทำให้เธอค้นพบความหมายของการมีชีวิตอยู่ และเธอก็เลือกที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้นด้วยความพยายามดิ้นรน ที่สุดก็เจอหนทางกลับมายังโลกอย่างหวุดหวิด และแน่นอนเมื่อเราดูหนังเรายังเห็นว่า สถานการณ์ที่น่ากลัว ไม่ว่าจะน่ากลัวปานใด แม้จะถูกพรากไปทุกสิ่ง แต่สิ่งสุดท้ายที่ไม่มีใครพรากได้นั่นคือทัศนคติของเรา เรามีอิสรภาพที่จะคิด จะกำหนดชะตากรรมใหม่ให่เราเองได้เสมอครับ

 ย้อนกลับมาที่อาจารย์วิคเตอร์ หลังท่านพ้นภัยมาจากค่ายกักกันนาซี ท่านได้เขียนหนังสือเรื่อง Man's Search for Meaning ซึ่งกลายมาเป็นหนังสือที่ทราอิทธิพลที่สุดหนึ่งในสิบเล่มของอเมริกา สิ่งที่ท่านค้นพบในค่ายกักกัน ถูกหล่อหลอมมาจนกลายเป็นจิตวิทยาสำนักใหม่คือ Logotherapy ที่มีแนวทางการบำบัดที่น่าสนใจมากๆ ครับ

 

ผมเองไม่ได้จบทางจิตวิทยาโดยตรง แต่ศึกษามาด้าน Appreciative Inquiry (AI) ซึ่งเติบโตมาจากการสังเคราะห์ทฤษฎีด้าน Positive Psychology หรือจิตวิทยาบวก โดยแนวคิดของ Logotherapy คล้ายๆกับหลักการพื้นฐานของ AI เรื่องหนึ่งคือ หลักการสร้าง Affirmative Choice หรือการตีกรอบปัญหา (จากลบเป็นบวก) ซึ่งจะเป็นจดเริ่มต้นการสร้างโจทย์เชิงบวก (หรือเรียกว่าการ Reframe) ทำให้นำมาสู่การสืบค้นและการค้นพบเชิงบวกได้  เรื่องนี้ผมจะเขียนเพิ่มทีหลังในตอนต่อๆไป แต่แนวคิดการตีกรอบปัญหานี้ ทำให้เราหลุดกรอบเดิมๆ คือทำให้เกิดความหมายใหม่ คนที่เก่งมากๆ ในเรื่องนี้คือท่านดาไล ลามะ ผู้นำจิตวิญญาณของธิเบตครับ.. เช่นมีครั้งหนึ่งท่านพูดว่า.. ท่านไม่ได้พยายามเปลี่ยนใครมานับถือพุทธ ท่านเพียงแต่คิดว่าจะเอาพระพุทธศาสนาไปช่วยมนุษยชาติได้อย่างไร .. ด้วยการตีกรอบการคิดใหม่ ทำให้เกิดความหมายใหม่ จนนำไปสู่การกระทำที่สร้างสรรค์ ไม่แปลกที่ศาสนาพุทธแบบธิเบต ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก.. 

                       

 

เอาเป็นว่าวันนี้ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสภาวะใด กดดัน ห่วยแตกแค่ไหน ขาดแคลนมันแค่ไหน ถูกกดดันแค่ไหน ไม่มีทางเลือกแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งที่คุณจะมีอยู่เสมอคืออิรภาพที่จะมีทัศนคติที่ดีครับ และถ้ามีทัศนคติดี ย่อมค้นพบวิธีการดีๆ จนสามารถก้ามข้ามอุปสรรคได้ในที่สุดครับ

 

ขอให้มีความสุขกับชีวิตนะครับ อย่ากลัวแรงโน้มถ่วงอีก

 

วันนี้พอเท่านี้ เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ

 

 

 

 

Reference

http://www.impawards.com/2013/gravity_ver3.html

http://www.indiewire.com/article/gravity-soars-with-critics-a-recap-of-the-reviews-so-far 

http://nhne-pulse.org/quote-dalai-lama-6/ 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 550347เขียนเมื่อ 6 ตุลาคม 2013 13:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม 2013 16:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ไปดูมาแล้วค่ะ ถ้าจะถามว่าชอบอะไรจากหนังเรื่องนี้ ชอบประโยคที่พระเอกบอกนางเอกตอนที่กำลังสิ้นหวังว่า “ทุกอย่างมีทางออกเสมอ” มันทำให้รู้สึกว่าถานการ์ตอนนั้นจากไม่มีทางแก้ แต่กลับดูเหมือนง่ายไปเลย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท