ประเด็นน่ารู้ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (๑)
โดย พระบุญฤทธิ์ ชูเลื่อน (วิชฺชาธโร)
เลขที่ ๑ สาขารัฐศาสตร์การปกครองชั้นปีที่ ๓
๑. เศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ในปัจจุบันเศรษฐกิจได้เข้ามามีบทบาทในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก เพราะประเทศที่มีสถานะทางการเศรษฐกิจดี ย่อมจะสามารถมีอิทธิพลเหนือประเทศอื่นได้ เพราะบรรดาประเทศต่าง ๆในโ,กนี้ บางประเทศก็มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เช่น กลุ่มประเทศอาหรับซึ่งได้ใช้น้ำมันเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ กล่าวคือ ในปี ๒๕๑๘ ญี่ปุ่นซึ่งมีนโยบายต่างประเทศไม่ฝักใฝ่กับฝ่ายใดในกรณีที่เกิดการพิพาทกันระหว่างกลุ่มประเทศอาหรับกับอิสราเอล แต่ในที่สุดญี่ปุ่นต้องเปลี่ยนท่าทีใหม่เข้าข้างฝ่ายอาหรับในการประณาม อิสราเอล ทั้งนี้เพราะญี่ปุ่นต้องพึ่งพาอาศัยน้ำมันจากกลุ่มประเทศอาหรับในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนั้นประเทศที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจยังได้ใช้พลังอำนาจทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ โดยวิธีการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศที่มีความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ ทั้งในรูปแบบของการให้เปล่า การให้กู้เงินในระยะยาวและคิดดอกเบี้ยต่ำ และได้ขอหรือขอเช่าฐานทัพที่สำคัญของประเทศนั้นเป็นสิ่งตอบแทน ในบางกรณีประเทศที่มีพลังอำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น สหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ก็ได้พยายามให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศที่มีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศเหล่านั้นเป็นพรรคพวกของตน หรือสนับสนุนตนในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น เครื่องมือทางเศรษฐกิจถือว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญอีกเครื่องมือหนึ่งและสามารถใช้ได้ทั้งในยามสันติและในยามสงคราม โดยเครื่องมือทางเศรษฐกิจนี้เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในโลกช่วงยุคหลังสงครามเย็น ก็เนื่องมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ก้าวขึ้นมีบทบาทแทนที่ของอุดมการณ์ทางการเมือง ดังนั้นเครื่องมือทางเศรษฐกิจจึงเป็นเสมือนพลังขับเคลื่อนทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีเทคนิคและรูปแบบการปฏิบัติที่หลากหลาย[๑]
๒. สนธิสัญญาระหว่างประเทศ
คำนิยามของคำว่าข้อตกลงระหว่างประเทศกับสนธิสัญญาทั้งสองคำนี้มีความหมายคล้ายคลึงกัน แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อแตกต่างกันอยู่ ในประเด็นข้อกฎหมายต่างๆ ดังจะกล่าวต่อไปนี้
คำนิยามข้อตกลงระหว่างประเทศ
บ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศที่เกิดจากข้อตกลง ก็คือบ่อเกิดที่เกิดจาก ข้อตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งหมายถึง การกระทำทางกฎหมายหลายฝ่ายที่ตกลงทำกันขึ้นระหว่างบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศและอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
ผลในทางกฎหมายที่สำคัญจากคำนิยามนี้มีอยู่ ๕ ประการคือ
ประการแรก ข้อตกลงระหว่างเป็นการกระทำทางกฎหมายหลายฝ่าย อันหมายถึง การกระทำที่ทำขึ้นหลายฝ่ายเพื่อก่อให้เกิดผลในทางกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวคือ เป็นการกระทำตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปเพื่อก่อให้เกิดความผูกพันตามข้อตกลงระหว่างรัฐ หรือองค์การระหว่างประเทศ หรือระหว่างรัฐและองค์ระหว่างประเทศ
ประการที่สอง ข้อตกลงระหว่างประเทศเป็นข้อตกลงที่ปราศจากแบบ กล่าวคือ ข้อตกลงระหว่างประเทศอาจเป็นได้ทั้งข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือข้อตกลงด้วยวาจาก็ได้หรืออาจเป็นได้ทั้งข้อตกลงที่ต้องผ่านแบบพิธีหรือข้อตกลงแบบย่อ อาจเป็นได้ทั้งข้อตกลงที่เป็นเอกสารฉบับเดียวหรือเอกสารหลายฉบับ หรืออาจมีมูลฐานมาจากความยินยอมโดยปริยายจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายก็ได้
โดยเหตุนี้เราจึงมักเรียกชื่อ ข้อตกลงลายลักษณ์อักษรในรูปแบบต่างๆดังกล่าวข้างต้นได้หลายชื่อ เช่นสนธิสัญญา ( Treaties ) อนุสัญญา ( Convention ) กติกา ( Pact ) กฎบัตร (Charte ) ธรรมนูญ ( Statut ) ปฏิญญา ( Declartion )
ประการที่สาม ข้อตกลงระหว่างประเทศเป็นข้อตกลงระหว่างบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งโดยปกติย่อมได้แก่ ข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่างรัฐกับรัฐ แต่โดยที่สังคมระหว่างประเทศมีการพัฒนาการเจริญก้าวหน้าและมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น ไม่เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐเท่านั้น แต่ยังได้ขยายไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ รัฐกับบุคคลธรรมดาหรือปัจเจกชน อีกด้วย รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างองค์การระหว่างประเทศกับรัฐและกับปัจเจกชน หรือระหว่างองค์การระหว่างประเทศด้วยกันเอง จนในบางครั้งก็ก่อปัญหาทางกฎหมายขึ้นได้ว่าข้อตกลงที่ทำขึ้นนั้นเป็นสนธิสัญญาหรือไม่ เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศหรือไม่และจะอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายใด กล่าวคืออยู่ภายใต้บังคับกฎหมาย
ภายในของรัฐหรืออยู่ภายใต้บังคับกฎหมายระหว่างประเทศ ในเรื่องนี้แต่เดิมคำพิพากษา เช่น ศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้ตัดสินวางหลักไว้ในคดีเงินกู้เซอร์เบียน ค.ศ. ๑๙๒๙ ว่าสัญญาทุกสัญญาที่มิใช่สัญญาระหว่างรัฐย่อมตกอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของรัฐ
นอกจากนั้น รัฐที่เอกชนถือสัญชาติอยู่ก็อาจเข้ามาให้ความคุ้มครองทางทูตแก่คนชาติของที่ตั้งของคณะกรรมการกาชาดระหว่างตนได้หากคนชาติของตนได้หากคนชาติของตนหมดหนทางเยียวยาความเสียหายตามกฎหมายภายในของรัฐผู้รับการลงทุนโดยรัฐผู้ให้ความคุ้มครองทางทูตฟ้องรัฐผู้ละเมิดสัญญาภาครัฐหรือฟ้องรัฐที่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำประกาศฝ่ายเดียวของตนต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้หากคู่ความยอมรับอำนาจศาล แต่ถ้าเกิดกรณีไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐผู้ให้ความคุ้มครองทางทูตก็อาจใช้วิธีการยื่นในการให้ความช่วยเหลือคนชาติของตน เช่น การเจรจาทางการทูต การไกล่เกลี่ย การใช้คนกลางแก้ปัญหา ไปจนถึงการใช้มาตรการตอบโต้ในรูปแบบต่างๆเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ เช่นการตัดความช่วยเหลือท่งการเงินหรือทางการทหาร การระงับโครงการความร่วมมือต่างๆเป็นต้นอนึ่งข้อตกลงที่ทำขึ้นทางศาสนาด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ เช่น Concordats และข้อตกลงระหว่างองค์การระหว่างประเทศกับรัฐก็ถือกันว่าเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ รวมทั้งข้อตกลงที่ว่าด้วยที่ตั้งของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศ
ประเทศที่ไม่ใช่ระดับรัฐบาล ก็ถือได้ว่าเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศเนื่องจากมีการ สถานภาพบุคคลทางกฎหมายระหว่างประเทศ( International legal Personality ) ของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศจึงทำให้มีความสามารถทำข้อตกลงระหว่างประเทศได้
ประการที่สี่ ข้อตกลงระหว่างประเทศย่อมก่อให้เกิดผลทางกฎหมายซึ่ง กล่าวคือก่อให้เกิดความผูกพันทางกฎหมายซึ่งบุคคลในบังคับของกฎหมายระหว่างประเทศจะต้องปฏิบัติตามและมีกำลังบังคับผูกพันให้ต้องกระทำการหรืองดเว้นกระทำการตามพันธกรณีที่มีอยู่ต่อกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ประการที่ห้า ข้อตกลงระหว่างประเทศต้องอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ อันหมายถึงข้อตกลงที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ ความสมบูรณ์ของข้อตกลงการมีผลใช้บังคับของข้อตกลงระหว่างประเทศ จึงต้องเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ข้อตกลงใดเป็นข้อตกลงที่ต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของแต่ละรัฐแล้ว ข้อตกลงดังกล่าวก็มิใช่ข้อตกลงระหว่างประเทศแต่เป็นเพียงข้อตกลงธรรมดา เช่น ข้อตกลงกู้ยืม ข้อตกลงเกี่ยวกับใบอนุญาตสิทธิบัตร เป็นต้น[๒]
๔. องค์การระหว่างประเทศ
กล่าวได้ว่าการจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศนั้นได้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ เช่น โฟเซียนลีก และ เอเวี่ยน ลีก สืบต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ มีบรรดานักคิดในยุโรปได้เคยเสนอให้บรรดาประเทศต่าง ๆ ระงับการใช้กำลังทหารเป็นเครื่องมือในการตัดสินข้อพิพาทและสมควรจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมทางการเมืองของนานาประเทศและกำหนดวิธีการลงโทษประเทศที่ใช้กำลังรุนรานประเทศอื่น แต่ประมุขของประเทศต่าง ๆ ในยุคนั้นยังไม่ค่อยจะเห็นความสำคัญ และให้ความสนใจต่อความคิดดังกล่าวนัก เพราะฉะนั้นในคาบเวลาของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ และ ๒๐ จึงได้เกิดสงครามระหว่างประเทศในหลายแห่งของภูมิภาคต่าง ๆ ในโลก ได้เกิดสงครามใหญ่ขึ้น ๒ ครั้ง สงครามโลกครั้งที่ ๑ และสงครามโลกครั้งที่ ๒
ครั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ยุติลงใน ค.ศ. ๑๙๔๕ โดยฝ่ายสัมพันธมิตรอันได้แก่สหรัฐอเมริกา รุสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ฝ่ายสัมพันธ์มิตรโดยมีสหรัฐเป็นผู้นำได้เชิญประเทศต่าง ๆ มาร่วมประชุมในวันที่ ๕ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๔๕ เพื่อร่างกฎบัตรสหประชาชาติขึ้น ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าองค์การระหว่างประเทศที่มีความสำคัญยิ่งต่อการรักษาสันติภาพของโลกในปัจจุบัน คือ สหประชาชาติ นอกจากนั้นก็ได้มีหลายประเทศที่มีผลประโยชน์ทางการทหาร การเมือง และเศรษฐกิจร่วมกัน ได้ร่วมมือกันจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศขึ้นอีกหลายองค์การ เช่น องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ องค์การสนิธสัญญาวอร์ซอร์ องค์การรัฐอเมริกา องค์การสนธิสัญญาป้องกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสมาคมประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น
สำหรับความมุ่งหมายในการก่อตั้งสหประชาชาติ ปรากฏอย่างชัดแจ้งในมาตรา ๑ แห่งกฏบัตรสหประชาชาติโดยสรุป ดังนี้
๑. ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
๒. พัฒนาสัมพันธไมตรีระหว่างชาติทั้งปวง
๓. ทำการร่วมมือระหว่างประเทศ
๔. เพื่อเป็นศูนย์กลางสำหรับการประสานการดำเนินการของประชาชาติทั้งปวง[๓]
๖. กฎหมายระหว่างประเทศ
เป็นที่ยอมรับกันว่าทุกสังคมต้องมีกฎข้อบังคับเพื่อใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของสมาชิกของตนและเพื่อการแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งนี้เพี่อการดำเนินชีวิตในสังคมดำเนินไปอย่างมีระเบียบมีความถูกต้องและความยุติธรรม แต่ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ย่อมมีความแตกต่างไปจากกฎเกณฑ์ของสังคมทั่วไป ทั้งนี้เพราะแต่ละรัฐมีอำนาจอธิปไตย เพราะฉะนั้นองค์การอื่นใดนอกรัฐไม่อาจออกกฎเกณฑ์ใด ๆ มาใช้บังคับอีกรัฐหนึ่งได้ แต่ในเมื่อรัฐต่าง ๆ ต้องมีการติดต่อสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และตลอดระยะในห้วงเวลาในอดีตที่ผ่านมา ได้เกิดมีขนบประเพณีและระเบียบระหว่างประเทศ จึงกลายเป็นกฎเกณฑ์อันเป็นที่ยอมรับที่เรียกกันว่า “กฎหมายระหว่างประเทศ” อย่างไรก็ดี แม้กฎหมายระหว่างประเทศจะมีความเจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับ แต่ก็ยังไม่อาจบรรลุถึงระดับที่เรียกว่า “กฎหมาย” เพราะยังเป็น “หลักกฎหมาย” มากกว่า “บทกฎหมาย” กล่าวคือที่เรียกว่าเป็น “หลัก” นั้น ก็เป็นผลมาจากหลักที่เก็บมาจากมติของนักนิติศาสตร์ จารีตประเพณี คำพิพากษาของศาล และสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
กล่าวได้ว่ากฎหมายระหว่างประเทศมีลักษณะคล้ายคลึงกับกฎหมายในสมัยกลางตรงที่ว่ามีมาจากขนบประเพณี ทั้งนี้เพราะในสมัยกลางนั้นขนบประเพณีของชุมชนมักจะกลายเป็นกฎหมาย และเนื่องจากในปัจจุบันนี้บรรดาประเทศเอกราชได้มีการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและกว้างขวาง จึงทำให้เกิดกฎเกณฑ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมา จึงพอจะสรุปถึงแหล่งที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศได้ดังนี้
๑. ขบประเพณี ได้แก่การยินยอมของรัฐโดยปริยายที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ได้มีการยอมรับปฏิบัติกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน
๒. สถาบันที่ศึกษากฎหมายระหว่างประเทศ ในยุโรปและอเมริกามีสมาคมและสถาบันหลายแห่งซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศได้แก่
๒.๑ สมาคมศึกษากฎหมายเปรียบเทียบ ซึ่งตั้งอยู่ ณ กรุงปารีส
๒.๒ สถาบันกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ ณ ประเทศอิตาลี
๒.๓ สถาบันกฎหมายระหว่างประเทศของอเมริกา ตั้งขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๑๕
๓. คำวินิจฉัยของศาลระหว่างประเทศ ในปัจจุบันนี้มีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศซึ่งตั้งอยู่ ณ กรุงเฮก ทำหน้าที่ตัดสินวินิจฉัยข้อพิพาทของนานาประเทศ และเป็นที่ยอมรับกันในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
๔. เอกสารระหว่างประเทศ กล่าวได้ว่าเอกสารระหว่างประเทศเป็นแหล่งที่มาที่สำคัญที่สุดของกฎหมายระหว่างประเทศ เอกสารระหว่างประเทศที่ว่านี้ได้แก่อนุสัญญา ข้อตกลง และสนธิสัญญา[๔]
ไม่มีความเห็น