ตอนเรียนสิ่งแวดล้อมฯ ครูบาอาจารย์สอนถึงทัศนคติต่อ "สิ่งแวดล้อม" พอจะยกมาได้คร่าวๆ สี่แบบ
ประโยชน์นิยม เป็นกลุ่มที่เห็นว่าสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศมีไว้สำหรับให้มนุษย์ใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หากปล่อยทิ้งไว้ เช่นนั้น สิ่งแวดล้อม (ดิน น้ำ ต้นไม้ สัตว์ แร่ธาตุ) จะไม่มีค่าจนกว่าจะนำมาใช้ประโยชน์ และแปรสภาพเป็นผลผลิตสำหรับมนุษย์
นิเวศนิยม เห็นว่าจะต้องสงวนสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศเอาไว้เพราะมันช่วยให้สิ่งมีชีวิตอยู่บนโลกได้
ศิลปนิยม เห็นว่าสิ่งแวดล้อมเป็นที่มาของความงดงาม และคุณค่าที่เป็นนามธรรมทางด้านของจิตใจ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์
ธรรมนิยม เห็นว่าสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศ คือ บ้านของสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ซึ่งมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ในที่เดิมของเขา มนุษย์ควรเป็นฝ่ายเคารพในสิทธิอันนี้ และมีหน้าที่ปกป้อง สิ่งมีชีวิต และแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตเอาไว้ ซึ่ง Schumacher (1973) เรียกทัศนคติแบบนี้ว่า พวกนับถือนิเวศวิทยา
สิ่งแวดล้อมน่ารักเสมอ ...
ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ หรือแม้จะผ่านมากว่าสามสิบปีแล้วก็ยังได้ยินเสียงเด็กๆ ตอบคุณครู
ครู : สิ่งแวดล้อม คือ อะไร คะนักเรียน
นักเรียน : สิ่งแวดล้อม คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อยู่รอบเราตัวเรา ค่า
แล้วครูก็ผ่านคำถามข้อนี้ไป ? .... เอ่อออออ ประมาณว่า ถูกค่า ตอบเหมือนที่ครูเคยตอบ ?
แล้วยังงัยต่อ ?
น่าจะมีการปรับทัศนคติกันได้แล้ว นะ เด็กรุ่นใหม่น่าจะเปลี่ยนทัศนคติที่ว่า เรา หรือ มนุษย์เป็นศูนย์กลาง ที่สามารถหยิบจับใช้ "สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ" อย่างเสรีได้แล้ว
สิ่งแวดล้อมที่ดีช่วยให้คนอยู่ได้อย่างมีความสุข
การจะปรับทัศนคติ ไม่ให้รู้สึกว่า "คน" เป็นศูนย์กลาง
หรือคำตอบสุดท้าย เพื่อ "คน" ... คงทำำได้ยาก
แต่ผมว่า ถ้าทำได้ โลกจะสงบสุขกว่านี้ และน่าจะอายุยืนยาวกว่านี้ครับ
... ดังนั้น คน..ต้องพยายามนิยามให้ขึ้นมาเป็นมนุษย์..เพราะคน.. มาจาก น..หนู ..วุ่นวาย.. และค..ควาย.