(1)
28-29 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญจากทีมงานบริการวิชาการของมหาวิทยาลัยนครพนม เพื่อเป็นวิทยากรเกี่ยวกับประเด็น ”การขับเคลื่อนงานบริการวิชาการแก่สังคม” โดยนำระบบและกลไกของมหาวิทยาลัยมหาสารคามไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้-
การได้รับเชิญครั้งนี้ ต้องขอบพระคุณคณะทำงาน หรือผู้บริหารด้านงานบริการวิชาการแก่สังคมของมหาวิทยาลัยนครพนมเป็นอย่างสูงที่เปิดสร้างสรรค์พื้นที่ให้ผมได้ร่วมเรียนรู้และเติบโตอย่างมีพลัง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องขอบคุณกัลยาณมิตรจาก Gotoknow (Kawao_กัลยา มิขะมา) ผู้ซึ่งเป็นต้นน้ำของการประสานงานและสร้างพื้นที่ของการเรียนรู้ร่วมกันในครั้งนี้
เวทีดังกล่าวขับเคลื่อนภายใต้ชื่อ โครงการ “แลกเปลี่ยนเรียนรู้เปิดโลกงานบริการวิชาการมหาวิทยาลัยนครพนม : เสริมสร้างความรู้สู่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง”
ในเวทีดังกล่าวนี้ แม้มิใช่เวทีเชิงมหกรรมอันหรูหราใหญ่โต แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามี “คุณค่าและมูลค่า” อย่างมหาศาล เป็นการงานอันง่ายงาม แตะต้องสัมผัสได้อย่างไม่เคอะเขิน หรือกระดากใจ
แน่นอนครับ-ความง่ายงามที่ผมว่านั้นถูกรังสรรค์ขึ้นตามขนบการจัดงานทั่วไปนั่นแหละ อาทิ การแสดงนิทรรศการ การเสนอผลงานของนักวิชาการ การสะท้อนผลการเรียนรู้ของชุมชน เป็นที่ตั้ง
ผมชอบความง่ายงามเช่นนั้น เพราะการเสนอผลงานบนเวทีของนักวิชาการนั้น ไม่ใช่การบรรยาย บอกเล่าสื่อสารทางเดียว หากแต่ถูกออกแบบด้วยการสื่อสารสองทางคือการ “เสวนา” โดยมี ดร.กัลยา มิขะมา ทำหน้าที่เป็นผู้นำการเสวนา (Kawao_กัลยา มิขะมา) ซึ่งต้องยอมรับว่าทำการบ้านมาดี ศึกษาโครงการแต่ละโครงการมาค่อนข้างชัด จุดประเด็นคำถามได้คม จับประเด็นได้อย่างเป็นรูปธรรม มิหนำซ้ำยังสร้างความเป็นกันเองกับนักวิชาการผู้เป็นหัวหน้าโครงการแต่ละโครงการได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้น ในช่วงการบอกเล่าของชาวบ้านก็ยังมีบรรยากาศที่ไม่ต่างกัน ถึงแต่จะจำกัดด้วยโต๊ะบรรยาย/เสวนาแบบทางการ แต่ประสบการณ์ทั้งปวงของผู้ดำเนินรายการ ได้ช่วยให้บรรยากาศดูเป็นกันเอง กระตุ้นให้ชาวบ้านไม่เขินอาย หรืออึดอัดใจต่อการบอกเล่า “ผลพวงของการเรียนรู้” หรือการรับบริการวิชาการ (องค์ความรู้) จากมหาวิทยาลัยนครพนม
ทั้งนี้ทั้งนั้นยังใช้กิจกรรมสนุกๆ มาหนุนเสริมเช่นเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมงานได้มอบดอกไม้ให้แก่นิทรรศการแต่ละโครงการ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมงานได้มีส่วนต่อการประเมินผลการจัดนิทรรศการไปในตัว
ครับ-ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้ “งานบริการวิชาการแก่สังคม” ของสถาบันอุดมศึกษาในแต่ละแห่ง ไม่ได้ด้อยไปกว่า “งานวิจัย” เลยแม้แต่น้อยนิด เนื่องเพราะการนำองค์ความรู้ไปสู่การถ่ายทอดและร่วมเรียนรู้กับชาวบ้าน (เรียนรู้คู่บริการ) นั้นสามารถต่อยอด หรือทำควบคู่ไปกับการเป็นวิจัยในชั้นเรียน หรือแม้แต่วิจัยเพื่อรับใช้สังคมได้เป็นอย่างดี รวมถึงหากสามารถเปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษา หรือผู้เรียนได้มีบทบาทต่อการขับเคลื่อน ยิ่งเป็นกระบวนการปฏิรูปการเรียนการสอนที่น่าสนใจ
แน่นอนครับ - ยิ่งหากสามารถออกแบบกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านแนวคิด “เรียนรู้คู่บริการ” บนฐานของกระบวนการวิจัยเพื่อสังคม อันหมายถึงการศึกษาบริบทชุมชน พัฒนาโจทย์ร่วมกับชุมชน เก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล คืนข้อมูล สังเคราะห์ชุดความรู้ร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง-ย่อมทรงพลังต่อการพัฒนาการเรียนการสอนควบคู่ไปกับการพัฒนาท้องถิ่น หรือชุมชนได้อย่างมหัศจรรย์
มิหนำซ้ำ นักวิชาการที่ทำงานด้านการบริการวิชาการดักกล่าว ยังสามารถเติบโตไปสู่การเป็น “นักวิจัย” ได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะกระบวนการที่ผมกล่าวถึงข้างต้นนั้น ล้วนเป็นกระบวนการของการทำงานวิจัยแทบทั้งสิ้น !
(2)
เวทีครั้งนี้ ผมได้นำข้อมูลอันเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “ระบบและกลไกหน่วยวิจัยเพื่อท้องถิ่นในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม” ไปนำเสนอและร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอาจารย์และนักศึกษา ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยมหาสารคามกับ สกว.ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้นักวิชาการในมหาวิทยาลัยได้หันมาให้ความสำคัญเกี่ยวกับ “งานวิจัยเพื่อท้องถิ่น” (งานวิจัยเพื่อรับใช้สังคม) ให้มากขึ้น โดยการบูรณาการเข้ากับภารกิจหลักของมหาวิทยาลัย (4 In 1)
ภายหลังการนำเสนอข้อมูลของผมยุติลง จึงกลายเป็นห้วงเวลาของการแลกเปลี่ยน หรือ “โสเหล่” โดยขนานแท้ ซึ่งการโสเหล่ที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นบนฐานคิดของการแบ่งปันและเรียนรู้ร่วมกันด้วยหัวใจอันเป็นกัลยาณมิตร มิใช่การอวดเบ่ง หรือแม้แต่หวงแหนและเก็บงำความรู้ใดๆ
ครับ-มีหลายประเด็นที่ถูกหยิบจับมาสนทนาพาทีกัน แต่ที่ผมสะดุดตาสะดุดใจมากๆ ก็ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นประเด็นที่อาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยนครพนมได้ถามทัก และโสเหล่ในเวที หรือแต่การฝากถึงคณะผู้บริหารและคณะทำงานด้านการบริการวิชาการแก่สังคมของตนเอง กล่าวคือ
·อยากให้มหาวิทยาลัยนครพนม มีระบบและกลไกหนุนเสริมใน เชิงของ “พี่เลี้ยง” เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่ง
ประกอบด้วยการหนุนเสริมจากระดับมหาวิทยาลัยและการหนุน
เสริมในระดับคณะ ไม่ใช่ปล่อยให้อาจารย์ หรือนักวิชาการแต่ละ
คนได้ขับเคลื่อนงานบริการวิชาการไปด้วยตนเองในเชิงเดี่ยว
อย่างน้อยก็ควรได้รับการพัฒนาศักยภาพต่างๆ เช่น การพัฒนา
โจทย์ การใช้เครื่องมือเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลชุมชน ฯลฯ
(3)
ครับ-ไม่มีที่ใดปราศจากการเรียนรู้
นั่นคือวาทกรรมที่ผมได้คิดและเขียนขึ้นเมื่อหลายปีก่อนในหนังสือ “เรียนนอกฤดู” ของผม
การมาเป็นวิทยากรในเวทีนี้ นำพามาซึ่งการเรียนรู้ที่มีความสุขอย่างมหาศาล การนำพาเรื่องราว “1 หลักสูตร 1 ชุมชน” ของมหาวิทยาลัยมหาสารคามมาสู่การเรียนรู้ร่วมกับมหาวิทยาลัยนครพนม คือสิ่งที่ผมภาคภูมิใจ เพราะการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ ภายใต้นโยบายที่เป็นรูปธรรมของผู้บริหาร ได้ก่อเกิดองค์ความรู้ใหม่ต่อผมและทีมงาน และเมื่อมีองค์ความรู้ ก็มีหน้าที่ในการนำองค์ความรู้เหล่านั้นมาขยายผล...สื่อสาร ต่อยอดในเวทีต่างๆ และแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น หนุนเสริมกันและกันสืบไป และสืบไป...
สำหรับมหาวิทยาลัยนครพนมนั้น ผมเชื่อว่าการเริ่มต้นสร้างเวทีเรียนรู้ร่วมกันเช่นนี้ คือภาพสะท้อนเล็กๆ ที่ง่ายงามของการเดินทางสู่การเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชนผ่านงานบริการวิชาการนั่นเอง--
คุณแผ่นดิน ... มีความสุขเสมอนะครับ ;)...
ขอบคุณนะคะ
ขอบคุณที่ให้มุมมอง ร่วมแลกเปลี่ยน
ขอบคุณที่เรารู้จักกัน และขอบคุณที่เราคิดหลายๆ อย่างตรงกัน
หวังว่ามันจะงดงาม และเติบโตต่อไป
มาทักทายและให้กำลังใจคนทำงานจ้ะ
น้องหายไปนานเลยนะคะ สบายดีไหม บ้านเสร็จแล้วใช่ไหมค่ะ
หลานๆ คงสบายดีนะคะ
น้องกลับมาเขียนบันทึกอย่างเต็มอิ่มทุกครั้งค่ะ มีความสุขมากๆ นะคะ
สังคมยังต้องการคนดี มีฝีมือ และความรู้สำหรับแบ่งปันนะคะ
สวัสดีครับ อ.วัสWasawat Deemarn
สวัสดีครับ อ.เหว่า Kawao_กัลยา มิขะมา
เหมือนและต่างในมุมคิด
ล้วนเป็นบทเติมเต็มกันและกัน
โลกนี้ โอบกอดเราไว้ด้วยความเหมือนและต่างโดยแท้เลยครับ
สวัสดีครับ คุณมะเดื่อ
ขอบพระคุณที่แวะมาให้กำลังใจนะครับ
สวัสดีครับ พี่ Bright Lily
ทำบ้านให้พ่อกับแม่เสร็จแล้วครับ
ยังคงเหลือการแต่งเติมเล้กๆ น้อยๆ
รวมถึงการแต่สวนในตัวบ้าน ซึ่งยังต้องใช้เวลาและการเงินอีกมากโขเลยทีเดียวครับ
โครงการดีๆ น่าประทับใจค่ะ
ตามมาเชียร์เพิ่งเห็นกาเหว่าเนี่ยครับ