คุยกันประสาคนอ่อนอังกฤษ


"คนเก่งคำนวณ มักจะไม่เก่งภาษา"  เป็นคำปลอบใจที่ดูดีสำหรับคนไม่ชอบภาษาอังกฤษ และมีหัวทางด้านการคำนวณอยู่บ้าง แต่การใช้ภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นจริงๆ แล้ววันหนึ่งเมื่อต้องเขียนจดหมายโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษ จึงเกิดบทสนทนาและการค้นคว้ากับตัวเองขึ้นมา  จริงๆ ตั้งใจทำไว้ดูเอง แต่นำมาลงไว้น่าจะได้ประโยชน์กว่า อย่างน้อยอาจจะมีผู้รู้เมตตาปรับความเข้ารู้ความเข้าใจให้มากขึ้นได้   

ภาษาอังกฤษวันนี้ภูมิใจนำเสนอ  Perfect tense


ดูๆ ชื่อ แล้วลองเดาๆ เอา มันมีคำว่า perfect แสดงว่าครบถ้วน สมบูรณ์แบบแล้วมัน perfect ยังไงนะแล้ว Present ธรรมดาๆ กับ Present Perfect มันต่างกันอย่างไร?
ทำไมปัจจุบันต้องเป็นปัจจุบันอย่างสมบูรณ์อะไรแบบนั้นด้วย?

ลองไปค้นดูรูปแบบประโยค เขาบอกว่าที่มัน Perfect ประการหนึ่งคือ เหตุการณ์เกิดครบถ้วนทั้ง อดีต ปัจจุบัน อนาคต เลยเรียก
perfect เออนะจำง่ายดี คือเริ่มทำในอดีต และทำเรื่อย ไปในอนาคตเลยทีเดียว ในความหมายนี้จะมีคำว่า
Since กับ For มาช่วยสื่อให้ชัดเจนขึ้น

นอกจากนั้น perfect ยังหมายถึงเพิ่งทำเสร็จตะกี้ แบบหยกๆ คือถ้าอาบน้ำเสร็จนี่ตัวยังเปียกน้ำอยู่เลยอะไรประมาณนั้นแต่มันเสร็จสมบูรณ์แล้ว

แต่เสร็จแล้วต้องเป็นอดีตไม่ใช่หรือทำไมเป็นปัจจุบันล่ะ
อนิจจา! ปัจจุบันไม่มีจริง
มีแต่อดีตอันใกล้เท่านั้นเอง ไม่เชื่อลองมองเข็มนาฬิกาสิ ปัจจุบันคือเวลาเท่าไร ?พูดจบก็กลายเป็นเวลาในอดีตไปแล้วมิใช่หรือ
ดังนั้นการที่ทำเสร็จหมาดๆ เลยจึงใช้ Present Perfect ด้วย
ฟังดูก็สมเหตุสมผล สมชื่อดีความหมายเพิ่งเสร็จมักจะใช้คำว่า Already,Just,Yetมาช่วย

และสุดท้าย ท้ายสุด ยังใช้ในความหมายที่ว่า เคยหรือไม่เคยทำด้วย (Ever,Never) เคยกับไม่เคย มันPerfect ยังไงไม่เข้าใจ แล้วทำไมต้องมาเข้ากับ Present ด้วยล่ะ ไม่ใช่Past tense รึ?

นั่นแน่ คิดให้ดี เคยทำ,ไม่เคยทำจบป่ะ จบสิ เคยทำคือทำแล้วจบแล้ว ไม่เคยทำคือตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำ
มันเป็นประโยคบอกเล่าที่เป็นความจริงใช่ไหมล่ะ อะไรที่เป็นความจริงต้องเข้าพวก Present
tense ให้หมด คิดดูซิ ถ้ามันเป็น Past tense จะแปลยังไง เช่น ฉันเคยขี่จักรยานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
มันทะแม่งๆ นะ คำว่าเคยมันมีความหมายในตัวเองเป็นอดีตเฉยๆ อย่าเข้าใจอะไรยาก เอาเป็นว่า เคย/ไม่เคย
จัดว่าเป็น Perfect ก็แล้วกัน อ่าว ไปแบบน้ำไม่ใสอีกแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยจะเข้ากับคำว่าเสร็จสมบูรณ์เท่าไร

แล้วทีนี้สมองก็จะไปโยงคำว่า Past Perfect กับ future perfect แล้วล่ะว่ามันต่างกับ present ตรงไหนอย่างไรกันหนอ?   ก่อนอื่นในสมองมีเมมโมรี่บันทึกไว้เรียบร้อยแล้วว่า

 Past คืออดีต จบไปแล้ว

 Present ปัจจุบัน

 Future อนาคต

 ดังนั้นพอบวกคำว่า Perfect เข้าไป คำว่า Perfect มันน่าจะหมายถึง จบเสร็จสิ้นสมบูรณ์

 Past Perfect ก็คือ เกิดขึ้นแล้ว จบเสร็จสิ้นสมบูรณ์ไม่มีผลมาถึงปัจจุบัน อ่าว!แล้วทำไมไม่ใช้ Past tense ล่ะ
มันก็เกิดขึ้นและจบแล้วในอดีต ไม่ใช่หรือ? จะใช้ Perfong Perfect ให้วุ่นวายทำไม? นั่นแน่ !ความสงสัยก่อให้เกิดการค้นคว้าและเรียนรู้ แสดงว่ามันต้องมีเหตุปัจจัยซ่อนอยู่ ไปถามอาจารย์ Goo ได้ความว่าเราใช้ Perfect เพื่อเล่าเหตุการณ์ ในอดีต 2 เหตุการณ์ คือ อดีตกว่า แล้วก็อดีตเฉยๆ

เช่น เมื่อวาน 7 โมงเช้าเป็นอดีตกว่า เมื่อวานตอน 8 โมงเช้า
ถ้าเราจะเล่าเหตุการณ์ว่า เมื่อวาน 7 โมงเช้ามีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นก่อนแล้วเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นตามมาตอน 8 โมง เราจะใช้ perfect กับเหตุการณ์ที่อดีตกว่าคือตอน7โมง เพื่อเน้นว่าในอดีตด้วยกัน มีอดีต กว่า (ที่เกิดขึ้นก่อนและจบลงไปแล้ว)

นี่กระมัง จึงเรียก Perfect เพราะมันต้องจบเสร็จสิ้นสมบูรณ์ก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่งนั่นเอง

น่าสนใจหนิ แล้ว Future Perfect ถ้าให้เดา ก็คงประมาณว่า มีเหตุการณ์ในอนาคต 2 เหตุการณ์
อันไหนเป็นอนาคตอันใกล้ เกิดขึ้นจบสมบูรณ์ แล้วตามด้วยอนาคตอันไกล เจ้าอนาคตอันใกล้ต้องใช้ รูปแบบ Perfect
อีกล่ะสิท่า?

Yes. ถูกต้องแล้วครับ แต่มีข้อสะกิดอยู่นิดนึงตรงที่อนาคตอันไกลนั้นเราใช้เป็นPresent ธรรมด๊า ธรรมดา และยังมีอีกกรณีหนึ่งคือ
มีเหตุการณ์เดียวก็ได้ แต่ต้องการสื่อว่า เสร็จแน่ๆ ชัวร์ๆ แบบ Perfect เลยในอนาคต ดังนั้นก็มักจะมีคำระบุเวลาด้วย
เช่น I will have finished my homework at 9 P.M. ฉันทำการบ้านเสร็จแน่ๆ ตอนสามทุ่ม เหมือนเป็นการสัญญิง สัญญา คล้ายกับ I am going to แต่มันต่างกันนิดนึ่ง ตรง to be going to คือจะทำแน่ๆเร็วๆนี้ด้วย แต่ยังไม่เริ่มทำ ส่วน perfect
นั้นอาจจะเริ่มทำมานานแล้วก็ได้ประเด็นแค่จะสื่อว่า เสร็จแน่ในอนาคต เสร็จแน่ๆ
แต่ to be going to คือ จะทำแน่ๆ นอกจากนั้น Future ยังใช้ระบุระยะเวลาที่จะเสร็จในอนาคตด้วย จำยากแฮะ เริ่มปวดหัว

 สำหรับรูปแบบประโยค จำง่ายๆเลยว่าถ้าขึ้นชื่อว่า Perfect แล้วไซร้กริยานั้นจะต้องเป็น V3 เพราะมันสมบูรณ์สุดแล้วไม่สามารถผันไปได้อีกแล้ว และก่อนหน้ากริยาต้องมี V to have นำหน้าเสมอ ส่วนว่าจะเป็น Have,Has,หรือ Had
ก็ขึ้นอยู่กับอดีตปัจจุบัน อนาคต และประธานที่นำหน้ากันไป ดังนี้

ถ้าเป็น Past Perfect ประธานทุกตัว+ Had+ V3   ถ้าเป็น Present Perfect ใช้ ประธาน+ Have/has +V3
ถ้าเป็น future ประธานทุกตัว + will+ have+ V3

มาทำMapping เก็บไว้กันดีกว่า

 

        

 

 

หมายเลขบันทึก: 546170เขียนเมื่อ 21 สิงหาคม 2013 17:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 สิงหาคม 2013 08:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

เข้าเรียนรู้ค่ะ..ตามประสาคนอ่อนแอภาษาอังกฤษ

I used a simple rule to choose between 'Past' and 'Perfect':

If I know "when I did something then I say it in Past tense with the time when I did it".

For examples: I went to market 'yesterday'; I sat on the fence all afternoon, 'last Tuesday'; A car crashed into a tree there 'this morning'.

But if I want to tell you I have dome something --no matter when-- then I say it in Perfect tense with "to have + verb participle" but without any specific time. To put it in Thai, I use Perfect tense to mean "เออ ทำแล้ส ก็แล้ว อย่าถามว่า
ทำเมื่อไร".

For examples: I have been to that market; I have read this book already; I haven't had a bath for a long time.

But note: I haven't eaten 'since' 'this morning'; It has been running since yesterday; We will have studied for a full year tomorrow.

I wish I did/had done it more often -- I mean, write more 'Plain and Simple English' (PSE -- you can check it up on G2K).

ขอบคุณครับ เป็นประโยชน์มากครับ

อ่านไปสนุกไป และขำไปค่ะ ตรงนี้ขำมาก " ไปแบบน้ำไม่ใสอีกแล้ว" 

และความคิดจรวิ่งเข้ามาว่า"ไปน้ำใสก็โดนฉมวกซิ อิอิ

ขอบคุณนะคะ ล้ามานานแล้ว ผิดบ้างถูกน้อยมากสำหรับตัวเองในเรื่องภาษา

 

ขอบคุณครับ...เรียนมาก็เพิ่งรู้จริงๆวันนี้แหละคับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท