584. สมองของแม่


ชีวิตผมเองผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่าครึ่งชีวิต เมื่อทบทวนกลับไปก็พบว่า เราได้ผ่านประสบการณ์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน หรือชีวิต และยิ่งทบทวน ยิ่งเห็นคนอื่นในวันเดียวกัน ก็ยิ่งตกผลึกว่า เรานี่มีวาสนามากๆ ที่ได้เกิดมาเป็นลูกแม่  เรียกว่ามีบุญจริงๆ  นี่ถ้าเกิดผิดบ้านก็ไม่ทราบว่าจะมามีชีวิตที่ได้เกินฝันขนาดนี้  เกินฝันในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการมีตำแหน่งใหญ่โต มีฐานะร่ำรวยอะไรมาก แต่ที่ไม่นึกไม่ฝันคือการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก อยู่กับมันทุกวัน นั่นคือ Appreciative Inquiry (AI)  ... เรียกว่าเมื่ออยู่กับสิ่งที่รัก ก็สร้างสรรค์มันให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้หลายๆ อย่างตามมาเอง แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับการทำงานด้วยความรัก และไม่รู้สึกเหนื่อย  รู้สึกสุขภาพจิตดีมากๆ  ผมเป็นคนหนึ่งที่มีคนจำนวนมากบอกว่า ผมเป็นคนคิดต่าง และคิดนอกกรอบแบบสุดๆครับ 

                     

เอาหล่ะ.. เมื่อมองกลับไปผมว่าผมมาถึงตรงนี้ได้ด้วยพลังของแม่ และพ่อครับ.. เรื่องพ่อ เคยเขียนไว้แล้ว มาวันนี้เป็นวันแม่ เลยเขียนถึงท่านบ้าง...  จริงๆแล้วผมมีหลายแม่ เพราะเด็กๆ แม่ต้องไปทำงานที่อื่น แถมสุขภาพผมไม่ดีเอามากๆ เลยเอาไปฝากป้า เลี้ยงบ้าง น้าเลี้ยง บ้างหลายปี  แต่ทั้งหมดที่เคยเลี้ยงดูผมมา เมื่อมองจากทฤษฎีสมองสองซีก ผมก็ต้องตกใจครับ และรู้สึกไม่แปลกใจ ที่ผมมาสอน Appreciative Inquiry ที่ค่อนข้างแปลกกว่าอย่างอื่น... แต่ไม่แปลกที่ผมทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น เพราะทำมาแต่เด็ก (ผมดูดาวตั้งแต่ม.2 โดยทำกล้องดูดาวเอง)    เอาเป็นว่าสมองของผมถูกสร้างขึ้นมาด้วยแนวทางบางอย่าง มันคืออะไร .. ผมพบเรื่องราวที่นี่สนใจครับ นั่นคือเรื่องของสมองสองซีก มันคืออะไร ...

นักวิทยาศาสตร์บอกว่า สมองซีกมีสองซีก (มีหลายทฤษฎี สี่ซีกก็มี วันนี้เล่นสองซีกครับ) ประกอบด้วย Rational Brain กับ Intutive Brain ครับ ทั้งสองซีก มีลักษณะ และการแสดงออกไม่เหมือนกัน ดังที่ผมสรุปไว้ในตารางข้างล่างนี้ครับ 

                     


ผมพบว่าแม่ผมเลี้ยงดูผมมาโดยใช้ Inituitive Brain ครับ...ผมอยากตะโกนดังๆ ว่า "แม่เจ๋งมากๆ"  ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ครอบครัวเราเป็นครอบครัวข้าราชการที่เริ่มทุกอย่างจากศูนย์ไม่มีสมบัติอะไรติดตัวมา เราไม่ใช่ลูกเถ้าแก่ หรือผู้บริหารระดับสูง ทุนของเราจริงๆ มีแค่ความเป็นมนุษย์ เหมือนกับคนธรรมดาทั่วๆไป แต่แม่มาพร้อมกับเงินเดือน 600 บาท พร้อมฝันที่ยิ่งใหญ่ว่า... “จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก”...  นี่คือแม่มอง “ภาพใหญ่” แล้ว 

ดูไร้เหตผลสิ้นดี ถ้ามองจาก Rational Brain เพราะเราไม่มีอะไรเลยจริงๆ แม่มองหาโอกาสทุกอย่างที่จะเป็นไปได้ที่จะทำให้ฝันเป็นจริง ตั้งแต่สั่งเฟอร์นิเจอร์จากจังหวัดแพร่มาโคราช เพื่อมาขัดและลงแล๊กเกอร์ขาย ถักเสื้อกันหนาวขาย ต่อมาก็ขายตรง ประมาณว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าแพงๆในบ้าน มาจากแชร์แม่บ้านที่แม่จัดขึ้น ... นี่หมายถึงพอแม่มอง “ภาพใหญ่” แม่ก็ทำทุกอย่างที่จะทำได้เพื่อสร้างความฝัน  นอกจากนี้จะเห็นแม่มีความคิดสร้างสรรค์ จับอะไรก็เป็นเงินไปหมด... จำได้เมื่อ 20 ปีก่อน แค่เป็นฝ้า แม่ก็จัดการหาครีมมาทาหน้า พอหาย แม่กลายเป็นตัวแทนขายครีมทาฝ้าไปเลย  ถ้ามามองจาก Intuitive Brain ก็คือแม่มีลักษณะของการ “คิดนอกกรอบ”  และทั้งชีวิตจะเห็นว่าแม่เน้น “ปัจจุบันกับอนาคต” ... วันนี้มีฝันอย่างนี้ก็จะทำวันนี้ เพื่อสร้างวันนี้ สิ่งนี้ไม่เคยเห็นคลอนแคลนจากสารบบการคิดของแม่ 

แม่มักมองและชื่นชมสิ่งที่ผมทำ แบบไม่มีเงื่อนไข จึงไม่เคยเห็นแม่ผลักผมไปเรียนพิเศษ ไปเรียนเปียนโน แต่ผมกลับคิดได้เองว่าถ้าจะไปให้ไกลต้องทำอะไรบ้าง ผมมองว่าแม่เป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ เวลามองกลับไปที่แม่ จะเห็นแม่ “เชียร์สุดฤทธิ์”  “เอาเลยลูก ไปเลย..ลูกทำได้แน่นอน”  ผมเห็นสายตามีแต่ความเชื่อมั่น เชื่อใจ ไม่เคยมาซอกแซก ตรวจสอบวิคราะห์ เปรียบเทียบใคร  เอาแค่นี้ครับ.. ที่สำคัญอารมณ์ดีครับ ไม่ว่าจะเป็นแม่คนไหน (ป้า น้า) ในตระกูลผม เสียงหัวเราะ ขำกลิ้ง อารมณ์ดี นี่มีให้เห็นเป็นประจำ..  ผมชอบบอกว่าแม่นี่คิดอะไรแบบมองโลกสวยฟ้าใสจริงๆ  ผมเรียกแนวความคิดแบบแม่ว่า Blue Sky Thinking (คิดแบบฟ้าใส) ครับ

                           

แต่แน่นอนแม่ไม่ได้ละเลยสมองของเหตุผล Rational Brain เสียทีเดียว แม่ยังคงบริหารความเสี่ยง เก็บเงิน... ระมัดระวังการใช้จ่าย วางแผน ที่สุดแม่กับพ่อสามารถเกษียณตนเองก่อนใคร ตอนนี้มีตังค์เที่ยวไปไหนมาไหนได้ โดยไม่เป็นภาระใคร อยากไปไหนไปก็ได้ สุขภาพดีมากๆ  แต่ต้องบอกครับ บ้านเราไม่ค่อยมีเหตุผลตามมาตรฐานสังคมนัก เพราะเราทำสิ่งที่สังคมรอบตัวเราไม่ทำกันครับ แต่ต้องบอกครับว่าเราไม่ฮาร์ดคอร์ ถึงขั้นจับผิด และลงรายละเอียดมากๆ สมองด้านนี้เป็น “ผู้รับใช้” ของเราไม่ใช่เป็น “นาย” เราครับ

และที่สุดผมก็ไปเข้าเตรียมอุดม นี่ก็สุดๆ  ต่อมาก็ไปผจญภัย เรียน MBA ที่ เมืองนอก ตามที่แม่ฝันไว้แบบ “เป๊ะเว่อร์”  มาเรียนจบเอก มาค้นพบตนเอง ได้ทำอะไรที่ไม่เหมือนใคร อยู่ขอนแก่น อย่างเต็มความภาคภูมิ เรียกว่าอยู่ขอนแก่น แต่ก็สามารถมีอิทธิพลทางความคิดกับที่อื่นๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปทนรถติดอยู่กรุงเทพ 

ปัจจุบันต้องบอกครับว่าผมเองค้นพบสิ่งที่รัก ทำสิ่งที่ชอบ มีชีวิตที่ดี มีความหมาย รู้สึกอยากตื่นเร็วๆ ทุกวัน ตื่นมาก็ลงมาทำงาน ทำเรื่อง AI ที่ผมรัก...  จะว่าไปชีวิตนี้ ความเป็นมนุษย์นี้ เป็นเพราะ “แม่” เพราะ “สมองที่ล้ำยุคของแม่” นั่นเอง เอาหล่ะถามว่าแม่สอนอย่างไร  ใช้เรื่องเล่า และการทำเป็นตัวอย่างครับ  คำสอนของแม่คือวิถีชีวิตของแม่นั่นเอง  วันนี้ผมเอง เมื่อเขียนเรื่องนี้ก็ได้ข้อคิดมากๆ ต้องหันไปทบทวนการสอนลูกครับ

                                         

      (ภาพสมัยเรียนปริญญาโท MBA ที่ Virginia Tech ประเทศสหรัฐอเมริกา ..ภาพฝันที่เป็นจริงของแม่)


นักวิทยาศาสตร์ด้านสมองบอกว่าสมองสองด้าน ไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่งมันดีทั้งนั้นครับ ไม่ได้หมายความว่ามีสมอง Intuitive Brain จะดีที่สุด แต่หมายความว่าเราต้องสร้างสมดุลย์ครับ คุณแม่ผมจะหนักไปทาง Intuitive Brain แต่ก็มีภาค Rational Brain ที่เข้มข้นระดับหนึ่ง ผมว่าถ้าแม่มี Intuitive Brain อย่างเดียวป่านนี้คงไม่ได้ไปนอกหรอกครับ และผมเองอาจกลายเป็นคนจับจด คิดฟุ้ง แต่ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลยก็เป็นได้

ส่วนท่านที่เป็น Rational Brain ก็อย่าตกใจครับ สังคมปัจจุบันก็ใช้เรื่องนี้มากๆ หากแต่ก็อย่าลืมแสวงหาความสมดุลย์ด้วยการมองภาพใหญ่ การคิดนอกกรอบ และหาเรื่องผจญภัยครับ ..บ้านเราค่าแรงแพงขึ้นเรื่อยๆ ความคิดนอกกรอบหรือ Inutitive Brain จะทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ  เรารับจ้างผลิตไม่ได้อีกต่อไป เราต้องหันมาทางออกแบบ คิดสร้างสรรค์เองมากขึ้น จริงไหม

"เอาเป็นว่าถ้าคุณเติบโตมาอย่าง Rational Brain ก็ถือมันเป็นนายครับ แต่อย่าลืมเรียกใช้บ่าว Intutive Brain บ่อยๆ คุณจะเหนื่อยน้อยลง

ส่วนผมเองมาแบบ Intuitive Brain ผมก็จะถือมันเป็นนาย โดยที่จะพยายามเรียกใช้บ่าว Rational Brain ครับ จะได้ไม่เพ้อ หรือหลุดโลกเกินไป"

                     

แต่อย่าลืม จะสอนใคร ต้องทำเป็นตัวอย่างนะครับ

คุณล่ะคิดอย่างไร

วันนี้เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูเอาเองนะครับ

ส่วนเรื่อง Appreciative Inquiry คืออะไรนั้น ลองดูได้ที่ Clip นี้ครับ 



Reference:

The first picture was retrieved Aug 12, 2013 from http://www.icolori.org/how-much-can-one-question-change-your-life/

The second picture was retrieved Aug 12, 2013 from www.aithailand.org

The third picture was retrieved Aug 12, 2013 from http://allwomenstalk.com/ways-to-change-your-life-for-the-better/

The fourth picture was retrieved Aug 12, 2013 from www.aithailand.org

The fifth picture was retrieved Aug 12, 2013 from  http://adbongo.com/finding-happiness-in-the-hemispheres-of-the-brain/hemisphere/

หมายเลขบันทึก: 545282เขียนเมื่อ 12 สิงหาคม 2013 10:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 กรกฎาคม 2014 22:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

 

            .... ขอบคุณ  ทฤษฎี สมองสองซีก นะคะ 

ขอบคุณที่นำเรื่องของแม่ที่สุดยอดมาเล่าสู่กันฟัง แอบภูมิใจนิดๆที่มีคุณสมบัติบางข้อคล้ายๆท่านค่ะ

ขอบคุณความรู้ครับ ท่านเขียนแบบ AI จริงๆ ครับ

ขอบคุณเรื่องดีๆ

อ่านเรื่องแม่แล้วมีความสุขครับ

อ่านแล้วเข้าใจความรักและความมุ่งมั่นในการเลี้ยงดูอาจารย์ด้วยสมองสมองซีกนี่เอง กิจกรรมบำบัดที่ยากที่สุดคือกิจกรรมการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีและคนเก่งครับผม ขอบคุณมากครับท่านอาจารย์

กนิษฐา เจนเวชประเสริฐ

อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆค่ะ ^^

การที่เราได้ทำงานในสิ่งที่เรารัก มันทำให้ทุกเวลามันมีค่าจริงๆค่ะอาจารย์ 

/มะเหมี่ยว

โดนฝึกสมองซีกซ้ายมากเกินไป

บางครั้งด้านขวาก้คิดอะไรไม่ค่อยออกค่ะ ^__^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท