KM (แนวปฏิบัติ) วันละคำ : 603. การสนทนาเพื่อปลดปล่อยความรู้ฝังลึก


การพูดคุยแบบรังสรรค์ (generative conversation) จะช่วยให้ความรู้ที่ซ่อนอยู่ เผยตัวออกมา การพูดคุยแบบนี้เน้นการตั้งคำถาม ในบรรยากาศเท่าเทียมกัน และร่วมมือกัน คุยกันด้วยท่าทีเปิดกว้าง มีการตั้งคำถาม เพื่อเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายหนึ่งออกความเห็นออกมาจากใจ ไม่เน้นถูก-ผิด

KM (แนวปฏิบัติ) วันละคำ  : 603. การสนทนาเพื่อปลดปล่อยความรู้ฝังลึก

หนังสือ The Inquiring Organization : Tacit Knowledge, Conversation, and Knowledge Creation Skills For 21st Century Organization ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2004   บทที่ ๘ เรื่อง Tacit Knowledge and Conversation  แนะนำวิธีสนทนาเพื่อให้ความรู้ฝังลึกออกมาทำงาน

การพูดคุยแบบใช้อำนาจเหนือ จะปิดกั้นความรู้ฝังลึก ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์  การพูดคุยแบบรังสรรค์ (generative conversation) จะช่วยให้ความรู้ที่ซ่อนอยู่ เผยตัวออกมา  การพูดคุยแบบนี้เน้นการตั้งคำถาม  ในบรรยากาศเท่าเทียมกัน และร่วมมือกัน  คุยกันด้วยท่าทีเปิดกว้าง  มีการตั้งคำถาม เพื่อเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายหนึ่งออกความเห็นออกมาจากใจ ไม่เน้นถูก-ผิด 

ท่าที ๓ อย่าง มีความสำคัญต่อการปลดปล่อยความรู้ฝังลึก  และช่วยให้เกิดการสร้างความรู้

1.  เป็น “ผู้ไม่รู้ ท่าทีเช่นนี้ จะเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายหนึ่ง หรือคนอื่นๆ แสดงความคิดเห็นออกมา  รวมทั้งช่วยสร้างบรรยากาศของความเท่าเทียมกัน  ไม่เน้นอันดับการบังคับบัญชา  ท่าที “ผู้ไม่รู้” ของฝ่ายผู้ฟัง จะช่วยให้ฝ่ายผู้ฟังเอาใจใส่ “การสนทนาออกมาภายนอก” (outer conversation) ของผู้อื่น  และในขณะเดียวกัน เอาใจใส่ “การสนทนาภายใน” (inner conversation) ของตนเอง

2.  สนใจอยากรู้  การแสดงความคิดเห็นของคนที่อยู่ในสภาพนี้ จะอยู่ในท่าทีไม่สรุป ไม่มั่นใจ  และอยากฟังข้อคิดเห็นแบบอื่น  จะช่วยกระตุ้นผู้อื่นให้แสดงข้อคิดเห็นที่หลากหลายออกมา

3.  ร่วมมือช่วยเหลือกัน  เพื่อให้ความรู้ฝังลึกที่ร่วมกันปลดปล่อยออกมา รวมตัวและสังเคราะห์เป็นความรู้ใหม่ ที่นำไปสู่การสร้างสรรค์ หรือการแก้ปัญหา

ท่าทีทั้งสาม ทำให้เกิดบรรยากาศของการตั้งคำถาม หรือสนใจใคร่รู้ร่วมกัน  ทำให้เกิดความร่วมมือกันมองหา หรือสร้าง มุมมอง โอกาส แนวคิด หรือแนวทางใหม่ๆ ร่วมกัน   

ท่าทีทั้งสามจึงเป็นบ่อเกิดของความสร้างสรรค์ (creativity)  แบบที่เป็นความสร้างสรรค์ร่วม (collective creativity)  

วิจารณ์ พานิช

๗ ส.ค. ๕๖

 


หมายเลขบันทึก: 545269เขียนเมื่อ 12 สิงหาคม 2013 05:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 สิงหาคม 2013 05:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ช่างโชคดีที่มาเปิดวันนี้ได้ความรู้ก่อนไป SHA ทันเวลาเลยค่ะขอบคุณมากๆค่ะ

ขอบคุณค่ะ ช่วยเติมเต็มความรู้ได้ทุกวันจากอาจารย์ค่ะ

หนูจะนำความนี้ไปใช้ ตามหลักการสนทนา เมื่อต้องการเปิดใจ

ต้องการความรู้จากนักเรียน และผุ้ร่วมงาน

ขอบคุณค่ะ

                                                                              น.ส.อารีรัตน์  ไชยศิลา

                                                                              555740316-5 Ex#19 sec.3

=สัมภาษณ์บุคลากร=

     จากที่ดิฉันได้สัมภาษณ์บุคลากรที่ดิฉันเคารพ และเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับการทำธุรกิจ เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของท่าน ท่่านได้ให้แง่คิดในการดำเนินชีวิตเป็นคติว่า ชีวิตคนก็เหมือนต้นไม้ ถ้าปลูกในกระถาง มันก็ไม่มีวันโตเต็มที่ ไม่เหมือนต้นไม้ที่ปลูกลงดินในพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งในขณะนั้นดิฉันได้ทำงานเป็นลูกจ้างแห่งหนึ่ง จะทำนานแค่ไหน ก็เป็นได้แค่ลูกจ้าง ไม่มีทางเจริญเติบโตไปมากกว่านี้ นายจ้างอยากให้ทำอะไร อยากให้ออกจากงานตอนไหนก็ได้ ทำงานรอให้ถึงสิ้นเดือนเพื่อจะได้รับค่าจ้าง แต่ถ้าเราทำธุรกิจของตัวเอง อย่างน้อยๆ เราก็ยังมีโอกาสเติบโต เพราะเราเป็นนายตัวเอง เหมือนกับปลูกต้นไม้ลงดิน ยิ่งรดน้ำ พรวนดิน มันยิ่งต้นใหญ่ และแข็งแรง แผ่กิ่งก้านสาขา ออกดอก ออกผล ไปชั่วลูกชั่วหลาน ไม่เหมือนปลูกต้นไม้ในกระถาง แม้รากของต้นไม้จะใหญ่แค่ไหน ก็ไม่เกินกว่าขนาดกระถางได้ นายจ้างอยากจะโยนกระถางทิ้งตอนไหนก็ได้  แต่เนื่องจากตัวดิฉันมี Purpose ในชีวิตที่ผิด.. และได้นำอิสรภาพด้านความสามารถของตัวเอง ด้านความรู้ไปใช้แบบอยู่ไปวันๆ ที่สุดก็สูญเสียอิสรภาพไปในที่สุด.ซึ่งมันเป็นเรื่องสำคัญมาก  เป็นอะไรที่ยากพอควร ก็เพราะตอนทำงานแรกๆ เราทำไปแบบเรื่อยๆ ไม่ได้มีการวางแผนอนาคต ไม่คิดทำธุรกิจ แต่พอได้คุยกับท่าน เลยเกิดจุดหมายดีๆในชีวิตคือ ต้องการเผยแพร่เรื่องดีๆ พบกับความหมายของชีวิตจริงๆ  

=สัมภาษณ์การตลาด=

     ร้านขายเสื้อผ้า ชื่อร้านเพลินตา จ.มหาสารคาม

     จากการสัมภาษณ์พี่โอ๋ ที่เคยพาแฟนไปซื้อเสื้อผ้า เมื่อพี่โอ๋เดินเข้าไปในร้านมองดูภายในร้านจัดได้สวยงามมาก ดูทันสมัย มีห้องสำหรับลองเสื้อผ้า มีไฟส่องตามมุมต่างๆ ทำให้เสื้อผ้าดูโดดเด่นขึ้นมาทันที แล้วยังเลือกดูง่าย เพราะมีการจัดเป็นโซน มีกระจกที่ส่องแล้วผอม และมีมุมน้ำดื่ม ซึ่งเป็นน้ำหวานจัดไว้บริการลูกค้า พอเดินเข้ามา เจ้าของร้านก็เดินมาต้อนรับ พูดจาสุภาพ "สวัสดีค่ะ วันนี้มีเสื้อผ้ามาใหม่ สนใจตัวไหนลองดูก่อนได้นะคะ " ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่งตัวดูดีมาก และให้คำแนะนำในการเลือกเป็นอย่างดี มีการเอาใจใส่ลูกค้าตลอดเวลา ถ้าลูกค้าเลือกไม่ถูก ทางร้านก็จะแนะนำ ถามว่าใสไปงานไหนคะ แล้วเอาชุดที่เหมาะกับงานมาให้เราเลือก แล้วยังแนะนำเครื่องประดับว่าควรใส่แบบไหนถึงจะสวยและเหมาะสม ทางร้านจะขอ E-mail ของพี่โอ๋ไว้ เวลามีเสื้อผ้ามาใหม่ก็จะอัฟเดตทุกครั้งทำให้ง่ายในการเลือกซื้อ ถ้าชอบตัวไหนก็แจ้ง Code เพื่อที่จะโอนเงินให้ทางร้าน แล้วทางร้านก็จะส่งสินค้าให้ลูกค้า ซึ่งเป็นบริการที่ประทับใจ และอยากจะบอกต่อ เพราะราคาเสื้อผ้าในร้านไม่แพง เริ่มต้นตัวละ 250 บาท วันนั้นพี่โอ๋ลองต่อรองราคา เจ้าของร้านก็ลดราคาให้ แต่ที่น่าประทับใจ คือ เจ้าของร้านยิ้มแย้มแจ่มใจ ขณะลดราคา 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท