ลูกสาวเขาทำมูลนิธิพูนพลัง ช่วยเหลือนักเรียนที่ขาดแคลน และส่วนหนึ่งเป็นนิสิตนักศึกษา (ไม่กี่คน) และเมื่อเร็วๆ นี้ มีกรณี นิสิตมุสลิมที่รับทุนจากจังหวัดชายแดนใต้คนหนึ่งคิดยุติการศึกษา จากปัญหาหลายด้าน และส่วนหนึ่งเป็นเพราะทนรับภาระการเงินจากแรงบีบคั้นทางสังคมในหมู่เพื่อนนิสิตไม่ไหว
นิสิต (ปี ๒) คนนี้บอกว่า วงการนักกิจกรรมของนิสิตเขาเรียกร้อง กดดัน ให้นิสิตทุกคน ต้องร่วมมือทำกิจกรรมด้วยกัน เน้นความร่วมมือ โดยที่ต้องมีค่าใช้จ่ายมาก เช่นค่าเสื้อสารพัดตรากิจกรรม และค่าใช้จ่ายอย่างอื่นๆ เขาบอกว่าเป็นเงินประมาณเดือนละ ๒,๒๐๐ บาท โดยที่นิสิตได้รับทุนจากมูลนิธิปีละ ๕๐,๐๐๐ บาท นิสิตคนนี้ได้พยายามประหยัดโดยกินอาหารเพียงวันละ ๒ มื้อ แต่ก็ไม่เพียงพอ
ลูกสาวเขารู้จักเด็กดี และรู้ว่าเด็กไม่โกหก ผมจึงขอสื่อสารมายังผู้ใหญ่ทั้งหลาย โดยเฉพาะครูอาจารย์ ให้ช่วยกันปรามนิสิตนักศึกษารุ่นพี่ เรื่องการกำหนดกิจกรรมที่ต้องใช้จ่ายเงิน ให้นึกถึงคนที่ยากลำบากขาดแคลนบ้าง
ผมยกเอาจดหมายจากนิสิตนักศึกษาที่ได้รับทุนจากมูลนิธิพูนพลัง ที่เล่าเรื่องค่าใช้จ่ายมาให้อ่านกัน โดยผมเอาชื่อมหาวิทยาลัย และชื่อผู้เขียนจดหมายออก ต้องอ่านจดหมายที่เด็กเขียนเล่าเองนะครับ จึงจะเห็นชัด
๑. ปี ๒๕๔๙ ผู้เขียนคนเดียวกับหมายเลข 3
ย้ำว่า ผมเขียนบันทึกนี้เพื่อชักชวนกันลดพฤติกรรมความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยของนิสิตนักศึกษา และขอความเห็นใจนิสิตนักศึกษาที่ยากจน
ที่จริงไม่เฉพาะนิสิตนักศึกษาหรอก ที่ควรลดความฟุ่มเฟือย ตัวเราเองทุกคนก็ควรทำตัวเป็นตัวอย่าง ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า คนที่รู้จักกำกับตัวเองให้มีความสันโดษ พอเพียง ตามฐานะของตน เป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี
และทำให้ผมได้ตระหนักว่า มูลนิธิพูนพลังไม่ได้ให้แค่เงินช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาเท่านั้น แต่ได้ให้ความรักความเมตตาเห็นอกเห็นใจด้วย
วิจารณ์ พานิช
๑ ก.ค. ๕๖
ผมเห็นด้วยกับการที่ครูบาอาจารย์ต้องปลูกฝังเรื่องนี้ให้กับเด็ก ๆ
กิจกรรมใดประหยัดได้ก็ควรทำ ...
กิจกรรมใดจ่าย ก็ควรมีข้อยกเว้นบ้าง ...
แต่ ... ตัวครูเองยังฟุ้งเฟ้อ ก็ไม่ควรเป็นครูไปสอนเขาเหมือนกันครับ
มีเยอะเลย ;)...
...อะไรคือความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย...ระบุไม่ได้นะคะเพราะสถานะของแต่ละคนแตกต่างกัน...น่าจะเป็นว่ารู้จักใช้เงินให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าอย่างสูงสูด...เพราะของบางอย่างหากซื้อราคาถูกแต่ใช้ได้ไม่กี่ครั้งต้องโยนทิ้งเป็นขยะ แล้วต้องซื้อใหม่เรื่อยๆ รวมแล้วราคาจะแพงกว่าสินค้าแบนด์เนมนะคะ...
จริงด้วยค่ะอาจารย์ นักเรียนไม่รู้จักประมาณตนเองในการใช้สอยในชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องของเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ และการบริหารการจัดการเวลา...เป็นรสนิยมใหม่ของนักเรียนการไม่มีโทรศัพย์มือถือเป็นเรือ่งน่าย การไม่ได้เล่น ถือว่าล้าหลัง..
สังคมก้มหน้า สักแต่ต้องเล่นไลน์ทั้งที่นั่งอยู่ในโต๊ะเดียวกัน...หนูขอกดไลท์ให้สัก 1000 ครั้งค่ะ
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ คนส่วนใหญ่ไม่เดือดร้อน แต่คนส่วนน้อยเดือดร้อน อันนี้เป็นตัวอย่างที่ดี
ที่เสียงส่วนใหญ่ทำให้คนส่วนน้อยเดือดร้อน ทางออกคือจะต้องพูดให้คนส่วนน้อยไม่ต้องสนใจและ
ไม่ต้องเช้าร่วมกิจกรรมที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน และไม่ต้องแคร์