ข้าพเจ้ามีพี่น้อง 2 คน ตัวข้าพเจ้าเป็นคนที่สอง มีพี่ชาย 1 คน ย้อนนึกถึงชีวิตในวัยเด็ก มันช่างแสนลำบากเอามากๆ พ่อแม่มีอาชีพการเกษตร (ทำนา) ขายข้าวเพื่อส่งลูก ๆ เรียนหนังสือ กว่าจะได้เงินมาสักบาทต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อ แม่ตื่นแต่เช้าตรู่ ออกนา ลูก ๆ ก็จะแบ่งหน้าที่กันหุงหาอาหาร เพื่อเตรียมไว้ให้ท่านหลังกลับจากนา วันธรรมดาต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 พี่ชายจะรับหน้าที่หุงข้าวตอนเช้า (เราจะแบ่งเวรกัน) ส่วนตอนเย็นเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า เหตุที่ต้องตื่นเช้า ก็เพราะว่าโรงเรียนอยู่ไกลจากบ้านหลายกิโล ที่สำคัญต้องเดินไปทุกวัน (แต่ก็สนุกดีไปอีกแบบ) เราจะห่อข้าวไปทานที่โรงเรียนทุกวัน เงินที่ได้ไปโรงเรียนก็จะหาเองด้วยการนำของไปขาย อย่างเช่น ลูกตาล มะม่วง ผลไม้บ้าน ๆ ทั้งหลายที่พอจะหาได้ แม่จะเป็นผู้ทำให้ แม่จะสอนอยู่เสมอว่าเงินทองหายากกว่าจะได้มาลำบาก ให้ช่วยกันประหยัด (เราก็รู้สึกน้อยใจนิด ๆ ว่าทำไมแม่ไม่เคยให้เงินค่าขนมบ้าง) แต่ต่อมาเมื่อเราได้ศึกษาในระดับสูงขึ้นทำให้เข้าใจแม่มากยิ่งขึ้นและรักแม่ที่สุด ที่ท่านส่งเสียจนได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แม่พร่ำสอนให้พวกเราเป็นคนดี ถึงแม้ว่าเราจะลำบากสักแค่ไหนเราก็ไม่เคยไปขอความช่วยเหลือจากใคร ครั้งหนึ่ง มีญาติๆ สบประมาทว่าขายวัวให้ควายเรียน ได้ยินแล้วเจ็บใจมาก ๆ ก็แม่อีกนั้นแหละสอนว่าจะไปโกรธเค้าเลย ขอลูก ๆ ขยันและตั้งใจเรียนเพื่ออนาคตจะได้สบาย ไม่ต้องลำบากเหมือนพ่อกับแม่ในตอนนี้ ก็เป็นจริงอย่างที่ท่านว่าไว้ ตอนนี้พวกเราสองคนพี่น้องมีงานทำที่ดี พี่ชายเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ไปรษณีย์) ส่วนข้าพเจ้า รับราชการ วันหยุดก็จะไปเยี่ยมพ่อและแม่เสมอ ยามใดที่ท่านป่วยก็จะพาไปหาหมอ ชีวิตมันย้อนกลับไปเหมือนตอนเราเด็กๆเลย เราไม่สบายแม่ก็จะคอยเฝ้าดูแล พอถึงวันหยุดแม่ก็จะโทรหาว่ากลับบ้านมั้ย แม่เตรียมโน่นเตรียมนี่ไว้ให้ นี่แหละ แม่เป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง หาสิ่งใดๆ มาเปรียบมิได้ เมื่อเรามีลูกของตัวเอง รู้เลยว่าแม่ห่วงเรามากแค่ไหน
รักแม่มากที่สุด
ขอบคุณค่ะ คุณจัตุเศรษฐธรรม
ขอบคุณ ทุกกำลังใจค่ะ