รูปแบบการเรียนรู้ หมายถึง สภาพลักษณะของการเรียนการสอนที่ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งได้รับการจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ตามหลักปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิด หรือความเชื่อต่าง ๆ
องค์ประกอบที่สำคัญของการเรียนรู้
1. มีปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิด หรือความเชื่อที่เป็นพื้นฐานหรือเป็นหลักของรูปแบบการสอนนั้น ๆ
2. มีการบรรยายและอธิบายสภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับหลักการที่ยึดถือ
3. สามารถนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมายของระบบหรือกระบวนการนั้น ๆ
4. มีการอธิบายหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่าง ๆ อันจะช่วยให้กระบวนการเรียนการสอนนั้น ๆ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
5. มีการจัดระบบคือ มีการจัดองค์ประกอบและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบให้สามารถนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมายของระบบหรือกระบวนการนั้น ๆ
การเลือกรูปแบบการเรียนรู้
การเลือกรูปแบบการเรียนรู้ที่จะนำมาใช้ในการเรียนการสอนควรคำนึงถึง
1. เป็นรูปแบบที่เสนอแนะแนวทางให้ผู้เรียนได้รับความรู้ความเข้าใจต่อบทเรียนเป็นอย่างดี ไม่ต้องใช้เวลามาก นำความรู้ไปใช้ได้
2. เป็นรูปแบบที่ก่อให้เกิดเจตคติที่ดีถูกต้องกับสภาพความต้องการของสังคมและเป็นที่ยอมรับ
3. เป็นรูปแบบที่ก่อให้เกิดทักษะต่าง ๆ เช่น การแสวงหาความรู้ การแก้ปัญหา การแสดงออกทางสังคม เป็นต้น
4. เป็นรูปแบบที่ก่อให้เกิดแนวทางที่จะนำความรู้เจตคติ และทักษะต่าง ๆ ที่ได้ฝึกฝนอย่างดี เอาไปใช้และปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้
รูปแบบการเรียนรู้/การเรียนการสอน
- การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน - การออกแบบและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
- เทคนิคและวิทยาการจัดการเรียนรู้ - เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมโดยใช้กระบวนการคิด
- การจัดการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ - การสอนแบบบูรณาการ
การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน
1. กลุ่มรูปแบบการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการคิด เช่น การสอนตามหลักการเรียนรู้ของกาเย่
2. กลุ่มรูปแบบการเรียนรู้ที่เน้นการมีส่วนร่วม เช่น การสอนที่เน้นการเรียนแบบร่วมมือ
3. กลุ่มรูปแบบการเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาพฤติกรรมและค่านิยม เช่น การแสดงบทบาทสมมติ
การจัดการเรียนการสอนแบบกาเย่
“ควรมีการจัดสภาพการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้แต่ละประเภท ซึ่งมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ภายในสมอง โดยจัดสภาพการณ์ภายนอกให้เอื้อต่อกระบวนการเรียนรู้ภายในของผู้เรียน”
วัตถุประสงค์
“เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้อย่างดีและรวดเร็ว และสามารถจดจำสิ่งที่เรียนได้นานขึ้น”
กระบวนการสอนแบบกาเย่ มี 9 ขั้นดังนี้
1. กระตุ้นและดึงดูดความสนใจของผู้เรียน 2. แจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียนให้ผู้เรียนทราบ
3. กระตุ้นให้ระลึกถึงความรู้เดิม 4. นำเสนอสิ่งเร้าหรือเนื้อหาสาระใหม่
5. การให้แนวการเรียนรู้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่ายขึ้น 6. กระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความสามารถ
7. การให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อเป็นการเสริมแรง 8. การประเมินผลการแสดงออกของผู้เรียน
9. การให้โอกาสผู้เรียนฝึกฝนและถ่ายโอนการเรียนรู้ไปสู่สถานการณ์อื่น ๆ ได้
การสอนที่เน้นการเรียนแบบร่วมมือ
“ผู้เรียนควรร่วมมือกันในการเรียนรู้มากกว่าการแข่งขันเพราะการแข่งขันก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการแพ้-ชนะ
ต่างจากการร่วมมือกัน ซึ่งก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการชนะ-ชนะ อันเป็นสภาพการณ์ที่ดีกว่าทั้งทางด้านจิตใจ
และ สติปัญญา”
หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ มี 5 ประการ ประกอบด้วย
1. หลักการพึ่งพาอาศัยกัน 2. อาศัยการหันหน้าเข้าหากัน 3. อาศัยทักษะในการทำงานร่วมกัน
4. ร่วมกันวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มที่ใช้ในการทำงาน
5. จะต้องมีผลงานทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มที่สามารถตรวจวัดและประเมินได้
วัตถุประสงค์
“ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ ด้วยตนเอง และด้วยความร่วมมือและความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะทางสังคมต่าง ๆ เช่น ทักษะ การสื่อสาร ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ รวมทั้งทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการคิดแก้ปัญหาและอื่น ๆ “
กระบวนการเรียนการสอนแบบร่วมมือ มีหลายรูปแบบ ได้แก่
1. การจัดกลุ่มการศึกษาเนื้อหาสาระ 2. การทดสอบ 3. การคิดคะแนน 4. ระบบการให้รางวัลแตกต่างกันออกไป
เพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะ แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ต่างก็ใช้หลักการเดียวกัน คือ หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการ และมีวัตถุประสงค์มุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกัน คือ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุดโดยอาศัยการร่วมมือกัน
การสอนแบบการแสดงบทบาทสมมติ
“การแสดงบทบาทสมมติเป็นวิธีการที่ช่วยให้บุคคลได้แสดงความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ที่อยู่ภายในออกมา ทำให้สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เปิดเผยออกมาและนำมาศึกษาทำความเข้าใจกันได้ ช่วยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง เกิดความเข้าใจในตนเอง ในขณะเดียวกันการที่บุคคลสวมบทบาทของผู้อื่นก็สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในความคิด ค่านิยม และพฤติกรรมของผู้อื่นได้เช่นเดียวกัน”
วัตถุประสงค์
“เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในตนเอง เข้าใจในความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้อื่น และเกิดการปรับเปลี่ยนเจตคติ ค่านิยม และพฤติกรรมของตนให้เป็นไปในทางที่เหมาะสม”
กระบวนการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ มี 9 ขั้น ได้แก่
1. ผู้สอนนำเสนอสถานการณ์ ปัญหา และบทบาทสมมติที่มีลักษณะใกล้เคียงกับความเป็นจริง และมีความยากง่ายสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียน
2. เลือกผู้แสดงร่วมกัน 3. จัดฉาก 4. เตรียมผู้สังเกตการณ์ 5. แสดง 6. อภิปรายและประเมินผล
7. แสดงเพิ่มเติม 8. อภิปรายและประเมินผลอีกครั้ง 9. แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุปการเรียนรู้
ไม่มีความเห็น