" ต้อหิน เป็นหนึ่งโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านอายุ โดยคนที่อายุ 70 ปีขึ้นไปจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคต้อหินได้มากราว 6 ถึง 7 เท่าของคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และจากการสำรวจพบว่า ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคต้อหินและโรคตาบอดที่เกิดจากต้อหินไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน
นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคต้อหิน 9 จาก 10 ราย มักไม่มีอาการ ทำให้กว่าที่จะรู้ตัวและมาพบแพทย์ ประสาทตาก็ถูกทำลายไปแล้ว นั่นทำให้ ต้อหิน เป็นสาเหตุที่นำไปสู่ตาบอดเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย
ต้อหินเป็นโรคเรื้อรัง ไม่ค่อยมีการแสดงอาการ
บางรายอาจมีอาการตามัวบ้าง แต่ส่วนใหญ่สามารถใช้สายตาได้อย่างปกติ
เนื่องจากต้อหินเป็นการสูญเสียลานสายตารอบนอก แคบเข้ามาจนถึงตรงกลาง
จนกระทั่งบอดในที่สุด โดยมีวิธีการสังเกตคือ ให้ปิดตาทีละข้าง
เพื่อเปรียบเทียบการมองเห็น ดูว่าตาทั้งสองข้าง
เห็นชัดและเห็นได้กว้างเท่ากันหรือไม่ และแม้จะขึ้นชื่อว่าต้อเหมือนกัน
แต่ต้อกระจกสามารถผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาได้
ส่วนต้อหินถ้าปล่อยทิ้งไว้ หากไม่ทำการรักษา ประสาทตาจะเสื่อมไปเรื่อย ๆ
ส่วนที่เสียไปแล้วก็จะไม่สามารถทำการรักษาให้ดีเหมือนเดิม
และไม่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนประสาทตาได้เหมือนต้อกระจก แต่หากตรวจพบได้เร็ว
ก็สามารถทำการรักษาเพื่อไม่ให้ตาบอดได้ โดยการรักษามีทั้งการใช้ยา การยิงเลเซอร์
และการผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและโรคที่เป็น
ต้อหินบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น
ต้อหินชนิดมุมปิดเฉียบพลัน ต้อหินที่เกิดจากการฟุ้งกระจายของเม็ดสี
และต้อหินที่มีสาเหตุจากเลนส์แก้วตา การจะทราบว่าเป็นต้อหินชนิดใดนั้น
จำเป็นต้องได้รับการตรวจจากจักษุแพทย์ และทำการรักษาอย่างทันท่วงที
มักมีคำถามบ่อย ๆ ว่าจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นต้อหิน
จักษุแพทย์ จะทำการตรวจสภาพลูกตาส่วนหน้าด้วยเครื่องตรวจ slit
lamp (สลิท แลมป์) วัดความดันลูกตา ตรวจความกว้างของมุมตา
ตรวจสภาพของขั้วประสาทตา และเส้นใยประสาทตา
นอกจากนี้ในรายที่สงสัยว่าอาจเป็นต้อหิน
แพทย์จะส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อตรวจสภาพลานสายตา และวัดความหนาของเส้นใยประสาทตา
ซึ่งในรายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นต้อหิน
จักษุแพทย์จะให้การรักษา
และจะต้องได้รับการตรวจติดตามเป็นระยะเพื่อดูว่าโรคยังมีลักษณะของการลุกลามต่อเนื่องอยู่หรือไม่
เพื่อจะได้รับการรักษาให้สามารถควบคุมโรคไม่ให้เกิดการลุกลามมากขึ้น
ทำให้ผู้ป่วยสามารถคงสภาพการมองเห็นเป็นปกติอยู่ได้
ในคนปกติทั่วไปจึงแนะนำให้ตรวจสุขภาพตาอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วงอายุ
25-40 ปี และรับการตรวจทุก 2-4 ปีในช่วงอายุ
40-64 ปี หลังจากนี้ควรได้รับการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
ในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหินอยู่แล้วจึงควรได้รับการตรวจสุขภาพตาถี่ขึ้น
โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาถึงความถี่ห่างในการเข้ารับการตรวจในครั้งต่อไปตามสภาพของลูกตาและปัจจัยเสี่ยงในแต่ละบุคคล "
อ.นพ.วสุ ศุภกรธรสาร ภาควิชาจักษุวิทยา
คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
( ขอบคุณ ต้อหิน ปัจจัย....สู่ตาบอด จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์คอลัมน์หมอรามาไขปัญหาสุขภาพ
และภาพตาจากอินเทอร์เน็ต )
ด้วยความปรารถนาดี กานดา แสนมณี
วันพฤหัสที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ ๒๕๕๖
ไม่มีความเห็น