การถือศีลอดในเดือนรอมดอน ของชาวมุสลิม คือ
การงดเว้นการกระทำต่าง ๆ ตั้งแต่แสงอรุณขึ้นถึงตะวันตกดินคือ
งดการกินและการดื่ม งดการแสดงออกทางเพศ
งดการใช้วัตถุภายนอกล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะภายใน งดการแสดงอารมณ์ร้าย
และความผิดต่าง ๆ พร้อมทั้งให้กระทำสิ่งต่าง ๆ คือ ทำการนมัสการ
พระเจ้าให้มากกว่าวาระธรรมดา ถ้าเป็นการถือศีลรอมาดอน
ให้ทำละหมาดตะรอวีห์ จำนวน 20 รอกะอัต อ่านกุรอานให้มาก
สำรวมอารมณ์และจิตใจ ทำทานแก่ผู้ยากไร้ และบริจาคเพื่อการกุศล
กล่าวซิกิร (บทรำลึกพระเจ้า) และให้นั่งสงบจิต อิตติภาพ ในมัสยิด
ที่มา: จากหอมรดกไทย)
ซึ่งน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพอยู่มาก ตามฐานคิดของผม
เรื่องนี้เราได้พูดคุยกันกับทีมงานที่เป็นพยาบาลในเครือข่ายไตรภาคีร่วมพัฒนาสุขภาพชุมชน
เมื่อคราวนำโครงร่างวิจัย (วิพากษ์โครงการผู้สูงอายุฯ อ.ปากพะยูน) ไปดูกัน
จากการพูดคุยกันวันนั้น ทำให้ทราบว่า กะ (พี่) สุคล รักมาก
พยาบาลชุมชน รพ.ปากพะยูน ผู้ที่เขียนบันทึก “เรื่องเล่าจากคุณพยาบาลชุมชน
นวตกรรมพื้นบ้านชุมชนมุสลิม”โครง..คุ้มภัย
ความปลอดภัยจากรุ่นสู่รุ่น“ และคุณอาภรณ์ หนูพันธ์
(เจ้าของ blog คุณพยาบาลกับงานส่งเสริม) สนใจที่จะศึกษาเรื่องพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิม
ในระหว่างการถือศีลอด ช่วงเดือนรอมดอน ซึ่งอยู่ในช่วงเวลานี้พอดี
ทั้งหมอยอร์นและผมยินดีสนับสนุนกะ (พี่) สุคนฯ คุณอาภรณ์ฯ และทีมงาน
อย่างเต็มที่ โดยตกลงที่จะนำเข้าสู่กระบวนการในโครงการ “ไตรภาคีร่วมพัฒนาสุขภาพชุมชน”
โดยมีคำถามหลัก (ใหญ่ ๆ) คือ ในระหว่างการถือศีลอด ช่วงเดือนรอมดอนนี้
พี่น้องชาวมุสลิมมีพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพอย่างไรบ้าง
ซึ่งกรอบคิดอย่างด่วน ๆ ตอนนี้ มีว่าพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพใน 4 ด้าน
คือด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคม และด้านจิตวิญญาณ
ก็เลยถือเอาบันทึกนี้เป็นบันทึกที่เริ่มต้น จากนั้นก็ได้นำบทสัมภาษณ์
สอบถาม สังเกต ประสบการณ์ หรือการพูดคุยมาบันทึกต่อ
หรือผู้สนใจท่านใดที่จะนำเสนอออกมาเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันก็ขอเชิญนะครับ
ขอเปิดประเด็นก่อนเลยรับ
จากการที่ได้โทรหาเพื่อนที่อยู่สตูล ก็ได้มาเรื่องหนึ่ง
ส่วนเรื่องอื่น ๆ เขาสัญญาว่าจะเข้ามาเติมเต็มให้อีกครั้ง
วันนี้เอาเรื่อง “ซากาต” ก่อนดังนี้
ซากาต การทำซากาต (การบริจาค)
เป็นพฤติกรรมมองได้ทั้งในเชิงสังคม และจิตใจ
อาจจะเลยไปถึงจิตวิญญาณด้วยซ้ำ เพราะซากาต เป็น
การบริจาคทรัพย์สินตามอัตราส่วนแก่คน 8 ประเภท
- คนอนาถา
คีอผู้ที่มีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น
- คนขัดสน
คือ ผู้ที่มีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย
-
ทาสที่ได้รับอนุมัติจากนายให้ไถ่ถอนความเป็นทาสได้
-
ผู้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว แต่ไม่ได้เกิดจากการทำผิดหลักศาสนา
-
ผู้ที่ดำเนินการในกิจการต่างๆ
หรือทำการต่อสู้เพื่อรักษาไว้ซื่งหลักการอิสสาม
-
ผู้ที่อยู่ในระหว่างการเดินทางไกล
และอยู่ในภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือ
-
ผู้เข้ารับอิสลามใหม่
-
เจ้าหน้าที่เก็บซากาต
ซากาต จึงกล่าวได้ว่า
เป็นข้อปฎิบัติของหลักเศรษฐศาสตร์อิสลาม ที่ต้องการลดช่องว่าง
ความแตกต่างของ ฐานะทางเศรษฐกิจ
กล่าาวคือเป็นทั้งการป้องกันและแก้ไขปัญหาความยากจน อันเป็นสำคัญ
ที่เกิดขึ้นใน สังคมโดยทั่วไป
ซากาตเป็นหลักปฏิบัติข้อหนึ่งที่มุสลิมส่วนหนี่งจะต้องปฏิบัติในทุกรอบ
1 ปี
มาดูคำสำคัญจากความหมายของ "ซากาต"
ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษาอาหรับ แปลว่าความเจริญงอกงาม การขัดเกลาจิตใจ
การทำให้บริสุทธ์ หรือ การเพิ่มพูน
เอามาฝากไว้ หากจะค้นเพิ่มเติมเชิญค้นได้จาก จาก : นิตยสารมุสลิมออนไลน์ http://www.thaiislamic.com/articlesshow.asp?kind=10&ID=%20102003
1 ในหลักปฏิบัติ 5 ประการ
ที่เป็นการยืนยันความศรัทธาด้วยการปฏิบัติ คือ
การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
การถือศีลอดในอิสลาม คือ การงดเว้นจากการกิน การดื่ม การเสพสิ่งต่าง ๆ
การมีความสัมพันธ์ทางเพศฉันสามีภรรยา
ตลอดจนการอดกลั้นอารมณ์ใฝ่ต่ำทั้งหลายและการนินทาว่าร้ายผู้อื่นตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตก
การถือศีลอดเป็นหลักปฏิบัติอีกประการหนึ่ง
ซึ่งอิสลามกำหนดให้มุสลิมทุกคนที่ศรัทธาในอัลลอฮ.และมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ทั้งชายหญิงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติเป็นเวลา
29 – 30 วัน ในเดือนรอมฎอนซึ่งเป็นเดือนที่เก้าตามปฏิทินอิสลาม
การถือศีลอดมิได้เพิ่งจะเริ่มมีในสมัยของศาสดามุฮัมมัด
แต่มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยของท่านเสียอีก แม้แต่ศาสดามูซา (โมเสส)
และศาสดาอีซา (เยซู) ก็เคยถือศีลอดด้วยเช่นกัน
คัมภีร์กุรอานได้กล่าวยืนยันถึงเรื่องนี้พร้อมกับบอกวัตถุประสงค์ของการถือศีลอดให้เราทราบว่า
:-
“บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย
การถือศีลอดได้ถูกกำหนดแก่สูเจ้าเช่นเดียวกับที่เคยถูกกำหนดแก่บรรดาก่อนหน้าสูเจ้า
ทั้งนี้เพื่อที่สูเจ้าจะได้ยำเกรงพระเจ้า”
ที่การถือศีลอดมีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกมุสลิมให้เกิดความยำเกรงพระเจ้าก็เพราะในเวลาปกติ
อัลลอฮ.ทรงอนุมัติให้มุสลิมกินและดื่มได้อย่างเสรี
แต่เมื่อถึงเดือนรอมฎอน เมื่ออัลลอฮ.ทรงมีบัญชาให้ละเว้นจากการกินดื่ม
มุสลิมก็ละเว้นทันที
นี่เป็นบทเรียนที่สอนมุสลิมให้ยำเกรงเละเชื่อฟังอัลลอฮ.
การถือศีลอดยังเป็นการฝึกให้ผู้ถือศีลอดซื่อสัตย์ต่อตัวเองและพระเจ้า
กล่าวคือ
ขณะที่ถือศีลอดเขาอาจจะแอบกินอาหารและดื่มน้ำในระหว่างการถือศีลอดก็ได้โดยที่ไม่มีใครรู้
แต่ด้วยความเชื่อในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเห็นและทรงรู้การกระทำของเขาทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
ดังนั้น เขาก็จะไม่ทำในสิ่งที่ขัดต่อความสำนึกของตัวเอง
นอกจากนั้นแล้ว
การถือศีลอดยังเป็นการแสดงออกถึงความเสมอภาคกันในบรรดาผู้ศรัทธาด้วย
เพราะในเดือนถือศีลอด
มุสลิมผู้ศรัทธาไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดต่างต้องงดจากการกินดื่มเหมือนกันหมด
ความจริงแล้ว
ในระหว่างการถือศีลอดนั้น
การอดอาหารและน้ำเป็นเพียงมาตรการที่จะช่วยย้ำเตือนจิตสำนึกของผู้ถือศีลอดให้ระลึกถึงพระเจ้า
และลดความต้องการทางอารมณ์ให้ต่ำลง ดังนั้น
ถ้าผู้ใดถือศีลอดแล้วยังคล้อยตามอารมณ์ใฝ่ต่ำทำความชั่วอยู่
สิ่งที่เขาผู้นั้นจะได้รับจากการถือศีลอดก็คือความหิวกระหายธรรมดาตลอดทั้งวัน
ซึ่งไม่มีผลต่อการฝึกฝนหรือการขัดเกลาทางด้านจิตวิญญาณของเขาแต่ประการใด
สำหรับคนชราที่ร่างกายอ่อนแอ
ผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยว่าการถือศีลอดจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย
กรรมกรที่ทำงานหนักในเหมืองแร่
หญิงมีครรภ์แก่ก็ได้รับการยกเว้นเช่นกัน และมิต้องชดใช้
แต่มีเงื่อนไขว่า
ผู้ที่ได้รับการยกเว้นจะต้องบริจาคอาหารที่ตัวเองกินเป็นประจำหนึ่งมื้อให้แก่ผู้ยากจนเป็นการทดแทนในแต่ละวันที่มิได้ถือศีลอด
ในระหว่างการถือศีลอด
มุสลิมสามารถกลืนน้ำลายได้ถ้าหากว่าน้ำลายนั้นสะอาดและไม่มีเศษอาหารติดอยู่
ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะความเมตตาและทรงรอบรู้อัลลอฮ์ เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี กลไกการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมนุษย์นั่นเอง แน่นอนมิใช่ความประสงค์ของอัลลอฮ์ หากว่าอิบาดะฮ (การเคารพภักดี) นั้นจะนำไปสู่ความเสียหาย (ทำให้เกิดโรค) แก่บ่าวของพระองค์
นักวิชาการชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ นายแพทย์ Allan Cott เขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “Why Fast ?” (ทำไมต้องถือศีลอด) ซึ่งเป็นผลจากการวิจัยของเขาจากหลายๆประเทศ เขาได้สรุปถึงเคล็ดลับของการถือศีลอดไว้ 10 ข้อ ดังนี้
1.ทำให้รู้สึกว่าสุขภาพกายและจิตใจที่ดีขึ้น
คุณลูกหมูอ้วน วันที่ 9 ยังเหมือนเดิมนะครับ ส่วนวันนี้ผมเตรียมเขียนเรื่องที่ได้เชื่อมต่อกับท้องถิ่น (เทศบาล) ที่ปากพะยูน รออ่านนะครับ
น่าจะได้เขียนเล่าให้ฟังบ้างนะครับว่า ไปถึงไหนบ้างแล้ว จะรออ่านครับ
วันที่ 9 ช่วงบ่ายยังเหมือนเดิม พบกับทีมงานวิจัยลูกข่าย 5 คน พยาบาล 2 นักวิชาการสาธารณสุข(จนท.สอ.) 1 แกนนำผู้สูงอายุ 1 ตัวแทนองค์กรท้องถิ่น 1 คน เป็นครั้งแรกที่เราเดินเครื่อง ดิฉันก็นึกภาพไม่ถูกเหมือนกันว่าภาพที่ออกมาวันนั้นเป็นอย่างไรเพราะ 2-3 ปี แล้วที่ชมรมผู้สูงอายุไม่เคยพบกันกลุ่มใหญ่ ครั้งนี้พวกเขาจะมากันครบหรือไม่พูดได้คำเดียวว่าโปรดติดตามตอนต่อไปพร้อมๆกันละค่ะ ทั้งทีมงานและผู้สังเกตุการณ์ งานนี้มีลุ้น.. แต่ขอบอก พวกเราสู้ตายค่ะ...ความตั้งใจเกิน 100 ทุกคน ต้องขอบคุณทีมงานไตรพาคีที่ได้จุดประกายเส้นทางการทำงานครั้งนี้
ส่วนอีกเรื่องกำลังเดินเครื่องเก็บข้อมูลอยู่
เก็บไปหมดเพื่อนพยาบาลที่อยู่แผนก ER และ OPD ก็ช่วยเก็บด้วย
ส่วนดิฉันเดินเครื่องเก็บภาคพื้นดิน(ในชุมชน)
ไม่แน่ใจนะค่ะ
แต่เก็บหมดละค่ะ
ตอนนี้พวกเรา(ดิฉัน+กะ(พี่คล)เดินหน้าลุยทั้งงานหลวงคือภาระงานตามหน้าที่ ที่มากพอสมควร
บวกงานราษฏร์ คือ
พาตัวเองไปให้ชาวบ้านรู้จักและอาสารับใช้เรื่องการส่งเสริมสุขภาพ
ทั้งร้อนเหนื่อยและสนุก แต่ขอบอกสนุกมากกว่าเหนื่อย
ปล.
เพื่อนๆที่ช่วยเก็บข้อมูลพอพูดถึงงานวิจัยทุกคนจะมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่
เป็นงานหนัก ยาก ทำไม่ได้ ทั้งๆ
ที่ปกติก็พูด(มากอยู่แล้ว)
แต่พอบอกว่าข้อมูลนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย
กลับมีความรู้สึกว่า ยากไปเสียได้ พูดไม่เป็น พูดไม่ถูก
ดิฉันต้องให้ความมั่นใจและปรับความรู้สึกว่างานวิจัยไม่ยากอย่างที่คิด
ดิฉันempower
ได้แค่บางคนที่จำเป็นต้องขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูล( empower
เฉพาะผู้นำตามธรรมชาติเท่านั้น..ขอขยายความเล็กน้อยผู้นำตามธรรมชาติ
ในความหมายของดิฉันหมายถึงพยาบาลและคนงานจำนวน3-4 คนในรพ.
ที่เป็นศูนย์รวมของสมาชิกพยาบาล
และพยาบาลระดับปฏิบัติให้การยอมรับพร้อมที่จะทำตาม(ในทางที่ดี)
และให้ความร่วมมือผู้นำตามธรรมชาติ เหล่านี้ล้วนไม่ใช่หัวหน้างานนะคะ..)
เรียน คุณลูกหมูอ้วน
หลังเลิกประชุมแกนนำผู้สูงอายุแล้ว ขอนัดทีมงานทุกคน พร้อมทั้งแกนนำผู้สูงอายุสัก 2-3 คน ต่อเลยนะครับ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เพื่อพูดคุยกัน และจะได้พบกับ (เรียนรู้แบบทำจริง) ของการถอดบทเรียนด้วยครับ
กล้าคิด กล้าทำ กล้าที่จะเสนอ ความคิดเห็นของตัวเองให้ผู้อื่นได้ชื่นชม