“แพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine)



http://www.firefara.org/pic-bioclock.jp





 ช่วงเวลา

ระบบที่เกี่ยวข้อง

ข้อควรปฏิบัติ

01.00-03.00 น.

ตับ

นอนหลับผักผ่อนให้หลับสนิท

03.00-05.00 น.

ปอด

ตื่นนอน สูดอากาศบริสุทธิ์

05.00-07.00 น.

ลำไส้ใหญ่

ขับถ่ายอุจจาระ

07.00-09.00 น.

กระเพาะอาหาร

กินอาหารเช้า

09.00-11.00 น.

ม้าม ตับอ่อน

พูดน้อย กินน้อย ไม่นอนหลับ

11.00-13.00 น.

หัวใจ

หลีกเลี่ยงความเครียดทั้งปวง

13.00-15.00 น.

ลำไส้เล็ก

งดกินอาหารทุกประเภท

15.00-17.00 น.

กระเพาะปัสสาวะ

ทำให้เหงื่อออก (ออกกำลังกายหรืออบตัว)

17.00-19.00 น.

ไต

ทำให้สดชื่นไม่ง่วงเหงาหาวนอน

19.00-21.00 น.

เยื่อหุ้มหัวใจ

ทำสมาธิ หรือสวดมนต์

21.00-23.00 น.

ระบบความร้อนของร่างกาย

ห้ามอาบน้ำเย็น ห้ามตากลม ทำร่างกายให้อบอุ่น

23.00-01.00 น.

ถุงน้ำดี

ดื่มน้ำก่อนเข้านอน

แพทย์ทางเลือก

ความหมายของแพทย์ทางเลือก

แพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) คือ การรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือสารเคมีใดๆ จะใช้น้ำร้อน น้ำเย็น การนวด ผลไม้ อาหาร

สมาธิ โยคะ การพูดคุย เป็นต้น

จากสภาวะความเป็นอยู่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีและการสื่อสารต่างๆได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ตลอดจนสภาพชีวิตความเป็นอยู่ใน

เมืองที่อยู่ในสภาพการแข่งขันสูง ส่งผลให้คนส่วนใหญ่เคยชินกับการใช้วัตถุฟุ่มเฟือยเพื่ออำนวยความสะดวกและมองวัตถุเป็น

สิ่งสำคัญมาก จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้ ทำให้คนในสังคมปัจจุบันกลายเป็นสังคมวัตถุนิยมและพึ่งพา

ส่วนประกอบที่เป็นสารเคมีมากขึ้น ดังนั้น สังคมในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง จึงมีโอกาสที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ

ขึ้นมากมาย โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมีดังนี้

  ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเกิดโรค

1. อาหาร

เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากต่อชีวิตของเราทุกคน เพราะเราต้องรับประทานอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างเพียงพอที่จะใช้การทำงานในชีวิตประจำวัน โดยในสังคมไทยปัจจุบัน มีคนป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารเป็นจำนวนมาก อันเป็นผลมาจากการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้องและรับประทานไม่เป็นเวลา ดังคำกล่าวที่ว่า “You are what you eat” สุขภาพของเราขึ้นอยู่กับอาหารที่เรารับประทาน อาหารเป็นตัวกำหนดภาวะโภชนาการของเรา

ซึ่งตามหลักของแพทย์ทางเลือกที่ใช้อาหารมาบำบัดร่างกายนั้นได้ใช้หลักการ ตามคำกล่าวที่ว่า “Let’s food be your medicine and medicine be your food” จงใช้อาหารเป็นยาในการรักษาโรค และให้ยาที่กินคืออาหาร ดังนั้น อาหารตามแนวของแพทยาทางเลือกจึงควรจะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ดูดซึมได้ดี ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที และไม่เหลือของเสียตกค้างอยู่ในร่างกาย โดยจะจัดอาหารให้มีองค์ประกอบครบ 5 หมู่ ดังนี้

1. ระบบดูดซึมดี

2. ระบบทางเดินหายใจดี

3. ระบบการหมุนเวียนโลหิต

4. ระบบภูมิคุ้มกันดี

5. ระบบฮอร์โมนดี

2. อารมณ์

สาเหตุสำคัญสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคนั้น เกิดจากกิเลสในใจของเรา เช่น ความโลภ ทำให้รับประทานที่มีไขมันสูง ไม่มีประโยชน์ เพราะติดใจในรสชาติความอร่อยของอาหาร ส่วนความโกรธหรือความเกลียดก็ส่งผลร้ายต่อร่างกายเช่นเดียวกับความเครียด กล่าวคือ จะส่งผลทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนอะดรีนาลิน ทำให้ภาวะความเป็นกรดในเลือดสูงขึ้น เกิดผลกระทบต่อระบบประสาท ตลอดจนกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งสภาพจิตใจและอารมณ์มีผลกระทบโดยตรงกับการเกิดโรคต่างๆ ทั้งทางกายและทางใจ ดังนั้น เราต้องปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้ปกติ ลดความโลภ ความโกรธ ความหลง

   3. อากาศ

เราควรอยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ปลอดมลพิษ อยู่ในที่ที่มีปริมาณโอโซนในชั้นอากาศที่ทำให้ปลอดเชื้อโรค โดยสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคนั้นเกิดมาจากการหายใจที่ไม่ถูกต้อง กล่าวคือ คนส่วนมากมักจะหายใจสั้นและเร็วทำให้ปอดไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เมือปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดความเสื่อมไปถึงความผิดปกติต่อระบบอื่นๆ ของร่างกาย

4. การหายใจ

การทำงานของร่างกายมนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องมีการหายใจเพราะมันสัมพันธ์กับทุกส่วนของร่างกาย โดยการหายใจเป็นการขับเคลื่อนส่วนเกินของความร้อนในร่างกายออกไป และเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด ซึ่งถ้าเราหายใจอย่างถูกต้อง กล่าวคือ การสูดลมหายใจเข้าลึกและยาว จะช่วยให้ปอดสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่และร่างกายนำออกซิเจนไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในเวลาที่หายใจออก ร่างกายจะขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนและของเสียอื่นๆออกมา เมื่อเราหายใจได้อย่างถูกต้องแล้ว ระบบการขับถ่าย การย่อยอาหาร และการดูดซึมก็จะทำงานได้ดีขึ้น ตลอดจนระบบกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย จะได้รับการชะล้างไขมันส่วนเกิน เพื่อเปลี่ยนรูปเป็นพลังงาน ส่งผลให้ผิวพรรณสามารถระบายความร้อนได้ดี ทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ร่างกาย

   5. การออกกำลังกาย

เวลาที่เหมาะสมตามหลักของแพทย์ทางเลือกการออกกำลังกายควรเป็นช่วงเช้าเวลาประมาณ 05.00-07.00น. เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่และไตขับของเสียออกให้หมด และพร้อมที่จะขับถ่ายก่อน 7 โมงและรับประทานอาหารใหม่หลังจากขับถ่ายแล้ว

6. อุจจาระ

การขับถ่ายเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกถึงสุขภาพของร่างกายคนเราว่า อยู่ในสภาวะปกติหรือไม่ การขับถ่ายควรทำให้เป็นปกติทุกวันก่อน 7 โมงเช้า ถ้าเราปล่อยให้เกิดอาการท้องผูกต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เช่น ภูมิแพ้ เนื้องอก มะเร็ง อัมพาต หอบหืด นอนไม่หลับ เป็นต้น

7. การนอน

ตามแนวของแพทย์ทางเลือกนั้น มองว่า เวลาพักผ่อนที่เหมาะสม คือ ช่วงเวลา 3ทุ่มถึงตี 3 โดยจะตื่นหลังตี 3 ก็ได้แต่ไม่ควรเข้านอนเกิน 3 ทุ่ม เพราะพลังงานของร่างกายเราจะสร้างในช่วงเวลา 3 ทุ่มถึง 5 ทุ่ม การนอนดึกจะทำให้อวัยวะต่างๆในร่างกายทำงานหนักเกินไปส่งผลให้เกิดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆในระบบของร่างกาย เนื่องจากทุกอวัยวะต้องได้รับสารอาหารจากการไหลเวียนตลอดเวลา การมีของเสียตกค้างระดับเซลล์ ทำให้มีอาการทางผิวหนัง แพ้ง่าย เป็นฝ้า กระ

อาการพื้นฐานสำหรับผู้เข้าสู่สายธรรมชาติ

สำหรับผู้ที่เข้าสู่สายธรรมชาติแล้ว อาการต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นถ้าคนที่มีจิตใจไม่ยึดมั่นพอ และไม่เข้าใจถึงกลไกต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ และยอมรับ มักจะเกิดอาการตกใจ อาการต่างๆที่เกิดขึ้นจริงๆแล้วเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง นั่นเพราะขณะที่เกิดอาการเหล่านี้ ถ้าในแนวทางธรรมชาติบำบัดถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะระหว่างที่เกิดอาการต่างๆขึ้นนั้น แสดงว่าร่างกายเริ่มมีการฟื้นฟู และซ่อมแซมตัวเองอย่างเป็นระบบ ดังนั้น ถ้าหากท่านเข้าสู่สายธรรมชาติบำบัด หากเกิดอาการเหล่านี้ขึ้น (โดยเฉพาะผู้ที่ทานน้ำผักปั่น และควบคุมอาหารตามที่แนะนำ) พึงให้ท่านเรียนรู้ว่า

อาการท้องเดิน:มีการทำความสะอาดลำไส้

อาการอาเจียน:มีการทำความสะอาดกระเพาะอาหาร

อาการไข้สูง มีเหงื่อและปัสสาวะ:ทำความสะอาดเลือด

หายใจเหม็น และมีเมือกต่างๆ:ทำความสะอาดปอด

ปวดเมื่อยทั้งตัว:ร่างกายเริ่มขับของเสียทิ้ง เซลล์ของคุณที่ไม่มีชีวิต กำลังจะมีชีวิต

ขอให้ท่านที่เกิดอาการดังกล่าว จงใจเย็นและมั่นคง และอย่าตกใจที่จะควบคุมในสิ่งที่ทำ ต่อไปอาการที่เกิดขึ้นจะค่อยๆหายไปเอง

  การขับพิษในร่างกายระดับเซลล์

เมื่อร่างกายมีการขับพิษตามแนวธรรมชาติบำบัดนั้น ผู้ป่วยทุกโรคจะมีอาการเหมือนกัน กล่าวคือ ถ่ายบ่อย ปัสสาวะบ่อย วิงเวียน รับประทานอาหารได้น้อย ไม่นอนเวลากลางคืน มีอาการทางผิวหนัง คัน บวม มีผื่นแดง หายใจแรง อ่อนเพลีย ง่วงนอนกลางวัน ตื่นบ่อยๆ เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดอาการต่างๆดังกล่าว การปฏิบัติตนเบื้องต้น สามารถทำได้ ดังนี้

- ดื่มน้ำโหระพา ใบเตย สะระแหน่ (ต้มในน้ำเดือด 1 ลิตร ใช้โหระพา ใบเตย สะระแหน่ 100 กรัม)

- ดื่มนมธัญพืช

- ดื่มน้ำเอนไซม์ผลไม้เข้มข้น

- ซุปผัก (ผักกาดหอม + ไข่ขาว + มะเขือเทศ + หอมหัวใหญ่)

- น้ำผักปั่น ทุกๆ 1 ชั่วโมงอย่างละ 20 ซีซี

- ดื่มน้ำอุณหภูมิห้อง 100 ซีซี ทุกชั่วโมง

- พักผ่อนนอนหลับเพียงพอ

  อาการปวด

คือ สัญญาณการขอความช่วยเหลือของร่างกายผ่านการทำงานของระบบประสาท บอกความรู้สึกให้เรารู้ตัวว่า ร่างกายเรามีของเสียจำนวนมากคั่งค้างอยู่ตามอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งเกินกำลังความสามารถของร่างกายที่จะกำจัดของเสียส่วนเกินนั้นทิ้งเองได้ ทำให้เกิดการเสียสมดุลของระบบการทำงานของร่างกาย ซึ่งของเสียเหล่านั้นเกิดจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนและเป็นโทษต่อร่างกาย เช่น อาหารที่ดูดซึมยาก ย่อยยาก อาหารที่มีส่วนผสมของสารปรุงแต่ง แต่งสี กลิ่น รส รวมถึงยา สารเคมี สารพิษในอากาศ การสูบบุหรี่ การเสพยาเสพติด เป็นต้น รวมทั้งเกิดจากผลของอารมณ์ในเชิงลบ ความโกรธ ความเกลียด ความเครียด เมื่อสะสมเป็นเวลานาน จะก่อให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะต่างๆในร่างกาย และเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ ได้มากมาย

  การใช้ยาแก้ปวด

การใช้ยาแก้ปวดจะได้ผลดีในระยะสั้น เพราะยาจะไปกดการทำงานของระบบประสาทส่วนที่ส่งสัญญาณปวดมาให้เรารับรู้ ซึ่งยาจะช่วยกดประสาทได้เพียงชั่วคราว เมื่อยาหมดฤทธิ์ เราก็จะกลับมาปวดใหม่อีกครั้ง เพราะของเสียต่างๆ ยังคงตกค้างอยู่ภายในร่างกาย ซึ่งการใช้ยาแก้ปวดอย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการสะสมสารพิษอยู่ในร่างกาย และส่งผลให้ระบบประสาท ตับ ไต เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว

  วิธีระงับอาการปวด

การทำสมาธิ เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยระงับอาการปวดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากขณะที่เราทำสมาธิจนจิตนิ่ง ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนเอนโดรฟิน หรือที่เรารู้กันว่าเป็นฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ทำให้ร่างกายเบาสบาย ปลอดโปร่ง สดชื่น รู้สึกดีขึ้น ซึ่งช่วยในการบรรเทาอาการปวดได้ดี  โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินไปซื้อเลย เพราะร่างกายของเราสามารถผลิตเองได้

การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อปรับสภาพร่างกายให้มีความสมดุล เป็นกลาง ช่วยให้ร่างกายสามารถกำจัดของเสียต่างๆในร่างกายได้และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย เพื่อฟื้นฟูอวัยวะต่างๆไปในเวลาเดียวกัน

ในทางตรงกันข้าม ขณะที่เกิดอาการปวดแล้วเรายังคงเครียด หงุดหงิด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลิน หรือที่เรารู้กันว่าเป็นฮอร์โมนแห่งความทุกข์ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการปวดเพิ่มมากขึ้น และยิ่งถ้าเราไปใช้ยาแก้ปวดอีก ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายร่างกายตัวเองเพิ่มขึ้นในระยะยาว เพราะจะยิ่งเป็นการส่งเสริมให้อวัยวะในร่างกายเสื่อมขึ้นโดยเร็ว เนื่องจากต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดนั้นยังคงอยู่

นาฬิกาชีวิต

จากการศึกษาและวิจัยพบว่า อวัยวะภายในร่างกาย มี 12 ระบบ แต่ละ  ระบบจะทำงานหนักเป็นเวลา 2 ชั่วโมงในแต่ละวัน ซึ่งเป็นการแสดงการหมุนเวียนของพลังงานในร่างกายในแต่ละช่วงเวลา โดยเราควรที่จะเรียนรู้และศึกษาการทำงานของอวัยวะในร่างกายของเรา เพื่อที่จะได้จัดสรรเวลาและดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกาย ดังนี้

ช่วงเวลาตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า(05.00-07.00น.เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ เป็นช่วงเวลาที่พลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเตรียมขับของเสียออกจากร่างกาย (อุจจาระ) ดังนั้น เราควรฝึกที่จะขับถ่ายให้เป็นเวลาก่อน 7 โมงเช้า แต่คนเรามักจะไม่ตื่นนอนในช่วงเวลานี้ ทำให้ร่างกายดูดซึมของเสีย กากอาหารที่ตกค้างซึ่งกำลังจะเป็นอุจจาระกลับเข้ากระเพาะอาหารใหม่ นี่เป็นสาเหตุทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า เกิดไขมันเสียๆ

ช่วงเวลาเจ็ดโมงเช้าถึงเก้าโมงเช้า(07.00-09.00น.เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร ดังนั้น เราทุกคนต้องทานอาหารเช้า เพราะกระเพาะอาหารจะย่อยได้สูงสุดในช่วงเวลานี้เท่านั้น ช่วงเวลานี้กระเพาะอาหารจะหลั่งน้ำย่อยซึ่งมีความเป็นกรดสูงออกมามาก เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร ถ้าเราไม่ได้ทานอาหารในช่วงเวลานี้ จะส่งผลให้เกิดโรคกระเพาะและโรคหัวใจ เนื่องจากม้ามไม่สามารถเก็บพลังงานสำรองไว้ได้ ทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก และร่างกายก็จะไม่ได้รับสารอาหารเพื่อกลับไปสร้างพลังงานรวมสำหรับทุกอวัยวะในร่างกาย ตรงกันข้าม ถ้าทานอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง

[img src="http://www.firefara.org/pic-bioclock-s.jpg" width="300" height="289" border="0">

ช่วงเวลาเก้าโมงเช้าถึงสิบเอ็ดโมง (09.00-11.00น.เป็นช่วงเวลาของม้าม เป็นช่วงเวลาที่ม้ามจะเริ่มเก็บพลังงานสำรอง เก็บสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ถ้าเราไม่ทานอาหารเช้า ร่างกายก็จะดึงพลังงานสำรองใช้ พลังงานรวมจะหายไป ร่างกายจะอ่อนแอ เพลีย ไม่มีแรง ม้าม มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างเม็ดเลือดขาว กรองแบคทีเรียทุกชนิด ควบคุมไขมัน ผลิตน้ำดี คนที่ปวดศีรษะบ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้าม

ช่วงเวลาสิบเอ็ดโมงถึงบ่ายโมง (11.00-13.00น.เป็นช่วงเวลาของหัวใจ เป็นเวลาที่พลังงานจะเคลื่อนไปที่หัวใจ ถ้าร่างกายไม่ได้สารอาหาร หัวใจจะทำงานลำบาก จะเห็นได้ว่าคนที่หัวใจวายมักจะเกิดก่อนเที่ยง หรือหลังจากกินอาหารเที่ยง ดังนั้น อาหารมื้อเช้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ ผู้ที่ไม่รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ จะทำให้หัวใจวายง่าย เนื่องจากหัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ในภาวะปกติ หัวใจจะสูบฉีดโลหิตในระดับความดันปกติ กล่าวคือ เซลล์เม็ดเลือดแดงยังไม่ถูกทำลายแต่ถ้าเรานอนดึก เซลล์เม็ดเลือดแดงจะแตกมากกว่านี้ ทำให้หัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายถี่ขึ้น แรงขึ้น เร็วขึ้น ซึ่งเป็นภาวะของความดันโลหิตสูง โดยหัวใจจะทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจ

ช่วงเวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง (13.00-15.00น.เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก พลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ลำไส้เล็ก ถ้าร่างกายไม่ได้รับอาหารเช้า ร่างกายก็จะไม่มีอาหารที่มารอย่อยในลำไส้เล็กทำให้ลำไส้เล็กย่อยตัวเอง และถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้นานๆเข้า ลำไส้เล็กก็จะอ่อนแอลง เพราะลำไส้เล็กจะทำงานโดยเปลี่ยนรูปสารอาหารคาร์โบไฮเดรท ไขมัน และเกลือแร่ที่ได้ในตอนเช้ามาเป็นพลังงานทั้งหมด

ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินบี วิตามินซี โปรตีน เพื่อสร้างกรดอะมิโน สร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในช่วงเวลานี้เราจึงควรงดรับประทานอาหารทุกประเภท เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้เล็กได้ทำงานเต็มที่

ช่วงเวลาบ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็น (15.00-17.00น.เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ เป็นเวลาที่พลังงานจะเคลื่อนมาที่กระเพาะปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะทำงานหนักในช่วงเวลานี้ เพื่อขับกรดและของเสียออกจากร่างกาย ดังนั้น เราไม่ควรอั้นปัสสาวะ เพราะปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดแทน นอกจากนี้กระเพาะปัสสาวะยังเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์และระบบเพศทั้งหมดอีกด้วย

ช่วงเวลาห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม (17.00-19.00น.เป็นช่วงเวลาของไตเราควรจะหยุดการทำงานหนักทุกชนิด รวมถึงไม่ควรออกกำลังกายแบบเต้น วิ่ง หรือเคลื่อนไหวมากๆ เพื่อไม่เป็นการเพิ่มกรดให้แก่ร่างกาย เพราะไตจะทำงานหนักในช่วงเวลานี้ โดยการออกกำลังกายในตอนเย็นจะทำให้ไตวายง่าย เวียนหัว ปวดศีรษะง่าย ยกเว้นการออกกำลังกายแบบโยคะ หรือ ไทเก๊ก ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดกรดแลคติกในร่างกาย และเราควรที่จะรับประทานอาหารเย็นให้เสร็จก่อน 18.00น. โดยควรทานอาหารที่ย่อยง่ายและควรทานให้เสร็จก่อนเข้านอน 3 ชั่วโมง ผู้ใดที่มีอาการง่วงนอนในช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเกี่ยวกับไตเสื่อม

คนที่ทำงานหนักมาทั้งวันแล้วไม่พัก ถ้าทำอยู่เป็นประจำจะทำให้ไตอ่อนแอลง เกิดการปวดหลัง ปวดข้อต่างๆ เพราะไตทำหน้าที่ควบคุมกระดูก ไขข้อ ฮอร์โมน ควบคุมพลังชีวิต อวัยวะสืบพันธุ์ เส้นผม เลือด หู และตา นอกจากนี้ ในยุคปัจจุบัน ผู้คนมีชีวิตอยู่กับเครื่องอิเล็กทรอนิกส์รอบตัวจึงได้รับคลื่นและรังสีมาก จนทำให้เซลล์เม็ดเลือดแตกอยู่เป็นประจำ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์อยู่เสมอ มักจะเกิดอาการมึนหัว ตาพร่า ปวดหลัง ปวดเอว แสดงว่ามีเซลล์เม็ดเลือดตายแออัดอยู่ในร่างกาย จนทำให้ร่างกายขับเซลล์เม็ดเลือดตายออกไม่ทัน จึงเกิดอาการปวดต่างๆขึ้น ถ้ามีอาการปวดตามกระดูกส่วนต่างๆของร่างกาย แสดงว่าร่างกายได้สูญเสียเซลล์เม็ดเลือดจึงต้องดึงออกมาใช้จากส่วนต่างๆของไขกระดูก ถ้าเราไม่เข้าใจก็อาจจะหายาแก้ปวดมากิน ซึ่งที่จริงแล้ว ร่างกายต้องการสารอาหารจำนวนมากเพื่อไปทดแทนเซลล์เม็ดเลือดที่สูญเสียไป โดยเฉพาะแคลเซียม แมกนีเซียม ที่ได้จากการรับประทานผัก ผลไม้ต่างๆ

สำหรับผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับไตเสื่อม ในตอนเช้าให้อาบน้ำเย็นส่วนในตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้าโดยใส่สมุนไพร เช่น ขิง ข่า กระชาย ลงไปผสมในน้ำด้วย

ช่วงเวลาหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม (19.00-21.00น.เป็นช่วงเวลาของกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นเวลาที่กล้ามเนื้อหัวใจจะชะล้างตัวเอง เราจึงควรพักผ่อนในช่วงเวลานี้เพื่อให้หัวใจทำงานน้อยลง ถ้าเราไม่พักในช่วงเวลานี้จะทำให้เลือดข้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนัก ทำให้หัวใจโต และคนที่หัวใจโตจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตมากกว่าคนปกติ 5-6เท่า

ทุกวันนี้ วิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนแปลงไป โดยไม่ค่อยมีใครพักผ่อนในช่วงเวลานี้ แต่กลับทำงานล่วงเวลา เที่ยวกลางคืน ทานอาหารมื้อเย็น ดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักมากขึ้นไปอีกเท่าตัว จึงมีผลกระทบต่อหัวใจ ดังนั้น ในช่วงเวลานี้เราควรพักผ่อน สวดมนต์ นั่งสมาธิ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายลง พร้อมสำหรับการเตรียมตัวที่จะเข้านอน

ช่วงเวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม (21.00-23.00น.เป็นช่วงเวลาของพลังงานรวม ดังนั้น เราควรนอนหลับให้ได้ตอน 3 ทุ่ม เพื่อที่เราจะได้มีพลังงานไปช่วยเหลือการสะสมพลังงานในร่างกายได้อย่างเพียงพอ ที่จะฟื้นฟูอวัยวะต่างๆ ให้สะอาดแข็งแรงสำหรับวันต่อไป

พลังงานรวม หมายถึง จำนวนเม็ดเลือด ถ้าเราไม่พักผ่อนในเวลานี้ เซลล์เม็ดเลือดแดงจะแตกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปกติเซลล์เม็ดเลือดแดงจะแตกวันละ 2-2.5 ล้านเซลล์ แต่ถ้าเรายิ่งนอนดึก เซลล์เม็ดเลือดแดงก็จะแตกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น คนที่นอนดึกเลือดจะลอย บริจาคเลือดไม่ได้ ในทางกลับกัน ถ้าเรานอนตอน 3 ทุ่ม ร่างกายจะสร้างเซลล์เม็ดเลือดขึ้นมาทดแทนส่วนที่แตกไปในแต่ละวันให้สมดุล โดยพลังงานที่สร้างขึ้นในช่วงเวลานี้ ร่างกายจะนำไปล้างถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีแข็งแรง

ช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง (23.00-01.00น.เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี เป็นเวลาที่พลังงานหรือเลือดเคลื่อนมาที่ถุงน้ำดี เพื่อให้ถุงน้ำดีทำหน้าที่ย่อยไขมันที่จะเปลี่ยนรูปเป็นฮอร์โมน จากนั้นจึงเปลี่ยนรูปเป็นกล้ามเนื้อ กระดูก ไขข้อ เส้นเอ็น ไขสมอง ตา น้ำหล่อเลี้ยงในร่างกายทั้งหมด ถ้าเราไม่พักผ่อนในช่วงเวลานี้ ไขมันพวกนี้ก็จะตกตะกอนอยู่ตามตัวเรา เช่น เป็นถุงไขมันใต้ตา มีพุง ปวดไหล่ ปวดท้องง่ายบริเวณลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะส่งผลให้เป็นโรคอ้วน นิ่ว และมีถุงซีสท์ตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดวิตามิน เอ ดี อี เค ซึ่งวิตามินทั้ง 4 ตัวนี้จะละลายได้ในไขมัน ทำให้ตาฝ้าฟาง กระดูกผุ ผิวหนังหยาบกร้าน

ช่วงเวลาตีหนึ่งถึงตีสาม (01.00-03.00น.เป็นช่วงเวลาของตับ เป็นเวลาที่พลังงานจะไปจัดการกับตับ หน้าที่ของตับ คือ สะสมอาหารสำรองให้กับร่างกาย ตับจะเก็บเลือด 50 กรัม เพื่อใช้ในการขับสารเคมีออกจากร่างกาย ตลอดจนผลิตน้ำดีและส่งไปเก็บไว้ที่ถุงน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ถ้าในช่วงเวลานี้เรายังไม่หลับนอน ร่างกายจะสูญเสียพลังงานส่วนที่สะสมไว้ ส่งผลให้ตับอ่อนแอ การสะสมพลังงานสำรองลดลง การผลิตน้ำดีลดลง ก่อให้เกิดโรคเกี่ยวกับความดันโลหิต โรคเกาท์ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น

บทบัญญัติ 10 ประการ

1. ตื่นนอน 04.44น. เข้าห้องน้ำ

2. ดื่มน้ำทันทีที่ตื่นนอน 500 ซีซี (ครึ่งลิตร) เป็นอย่างน้อย

3. ดื่มน้ำโหระพา 250 ซีซี เช้า กลางวัน เย็น ก่อนอาหารทุกมื้อ

4. ดื่มน้ำข้าวผง 250 ซีซี และอาหารไร้สารพิษ

5. ออกกำลังกาย 05.30-06.00น.

6. รับประทานอาหารเช้า 07.30น. กลางวัน11.30น. เย็น 17.30น.

7. ดื่มน้ำทุกๆชั่วโมง 500 ซีซี (ครึ่งลิตร) เวลา04.00-20.00น.

8. เข้านอน 21.00น.

9. ขับถ่ายอุจจาระเวลา 04.00น. ก่อน 06.30น.

10. อยู่ในที่อากาศสะอาด มีออกซิเจน 20%ไนโตรเจน 79%และ อื่นๆ1%

"โครงการสปาสุขภาพสำหรับชุมชน"...เพื่อทุกคนพ้นไข้เจ็บ

บริการฟรีทุกวัน จันทร ์ถึง ศุกร์

เตรียมพบกับ"FARA Healthy SPA" เพื่อบำบัดและฟื้นฟูสุขภาพแบบHydrotherapy

12 มิถุนายน เป็นต้นไป ที่ FARA รีสอร์ท ปลอดภัยและสุขภาพ


คำสำคัญ (Tags): #clock
หมายเลขบันทึก: 543978เขียนเมื่อ 29 กรกฎาคม 2013 11:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 กรกฎาคม 2013 11:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

 

.... ขอบคุณค่ะ  ....กับความรู้เรื่อง Alternative Medicine นี้ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท