พระเจ้ากรุงธนบุรี(ตากสิน) เป็นลูกใครกันแน่ ?


                                                  กำเนิดพระเจ้าตากสิน  เป็นลูกใครกันแน่ ?

                                                                            ...........

ตามพระราชประวัติฉบับอภินิหารบรรพบุรษ และพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ หรือ ฉบับพระราชหัตถเลขา  หรือคัมภีร์ธาตุวงศ์ที่พระมหาโสภิตเขียนถึงประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรี  ล้วนถูกชำระ(เรียบเรียงใหม่)ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นเกือบทั้งนั้น ทุกฉบับมักกล่าวว่า พระเจ้ากรุงธนบุรี มีบิดาเป็นชาวจีน มาจากเมืองเฉาโจ ชื่อ นายไหฮอง หรือ เซิ่นย้ง (ไทยเรียก แต้ย้ง ตามตำสำเนียงแต้จิ๋ว) รับราชการมีบรรดาศักดิ์เป็นขุนพัฒน์ นายอากรบ่อนเบี้ย มีมารดาชื่อ นางนกเอี้ยง เมื่อคลอดได้ ๔ วัน เจ้าพระยาจักรี บ้านโรงฆ้อง สมุหนายกรีบมารับไว้เป็นบุตรบุญธรรม

ผมเป็นคนหนึ่งที่สงสัยมาตลอดว่า ถ้าพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นสามัญชนและมีบิดาเป็นจีนต่างด้าวจริง ทำไมเจ้าพระยาจักรีต้องมารับไปเป็นบุตรบุญธรรมด้วย ลูกหลานท่านก็เยอะ ท่านโดดเด่นตรงไหน  หรือว่าเพราะขณะเกิดมีอภินิหารปรากฏการณ์ทางดวงดาว  และมีงูเหลือมใหญ่มานอนขดกระด้งไว้  แสดงถึงว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการมาเกิดแน่ๆ จึงรีบไปรับมาเลี้ยงดู  แต่ก็ไม่มีประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับเดิมๆ ที่กล่าวถึงเรื่องราวการกำเนิดแบบอภินิหารของพระเจ้ากรุงธนบุรีไว้เลย  แถมช่วงที่พระเจ้ากรุงธนบุรีประสูติ ก็มีกบฏจีนก่ายยกพวกปล้นตีพระราชวัง เจ้าพระยาจักรีไม่กลัวข้อหาสมคบคิดกับพวกจีนกบฏหรือ  

จากประวัติดังกล่าว  กล่าวว่าเมื่อเจริญวัยแล้ว  เจ้าพระยาจักรีนำเข้าไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กใกล้ชิดพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ และช่วงหนึ่งมีเรื่องกับพวกบุนนาคที่มาดึงผมเปียขณะที่พระเจ้ากรุงธนบุรีนอนหลับ  แต่ผมก็สงสัยว่าคนธรรมดาเชื้อสายจีน พ่อแท้ๆ คุมบ่อน จะมีโอกาสเข้ารับราชการใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินตั้งแต่อายุ ๑๓ ปีได้หรือ และมหาดเล็กทำไมไว้ผมเปียได้  และยิ่งต่อมาเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่ราชการ  ถึงกับได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองตาก  มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา ด้วยวัยเพียง ๒๗ ปี คงเป็นไปได้ยาก  และยิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองในยุคแผ่นดินสงบยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย  เพราะสังคมสมัยอยุธยาตอนปลายเป็นสังคมชนชั้นศักดินาสวามิภักดิ์ ลูกหลานขุนนางเก่าเดิมทีี่ครองตำแหน่งเจ้าเมืองอยู่เก่าเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์้ป็นเจ้าเมืองคนต่อไป  แม้ในพระราชพงศาวดารบอกว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีวิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง  อ้าวแล้วประวัติที่บอกว่ามีบิดาบุญธรรมเป็นถึงพระยาจักรี  ต้องไปวิ่งเต้นซื้อตำแหน่งทำไมอีกล่ะ การเป็นเจ้าเมืองถ้าไม่ใ่ลูกหลานเจ้าเมืองเก่า  ก็อาจเป็นข้าหลวงเดิมตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์  หรือสนิทมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์อยู่ เช่น พระยาโกษาปาน ลูกแม่นมดุสิต สมัยพระนารายณ์ เป็นต้น  ก็ยังเป็นแค่ขุนนางที่รับใช้ ทำงานใกล้พระองค์เท่านั้น  ไม่ใช่การไปเป็นเจ้าเมืองที่ไกลอยุธยามากอย่างนั้น อดีตแทบไม่ปรากฏและเป็นไปได้เลย  แต่ก็มีชาวต่างด้าวที่เป็นขุนนางได้  ซึ่งมักเป็นขุนนางที่ี่ช่วยหาเงินให้พระเจ้าแผ่นดินใช้สอยเท่านั้น  เช่น เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ หรือ ชาวโปรตุเกส  ญี่ปุ่น ที่เข้ามาช่วยรบในสมัยอยุธยาตอนต้น ก็ไม่ใช่ตำแหน่งมหาดเล็ก หรือเจ้าเมืองอยู่ดี   และยิ่งช่วงนั้นเพิ่งเกิดศึกแย่งชิงบัลลังก์กันระหว่างลูกหลานพระเพทราชาตลอดเกือบทุกปี ทั้งพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กับพระโอรสของพระเจ้าท้ายสระ  หรือพวกเจ้าสามกรมกับลูกพระเจ้าบรมโกศอีก รวมทั้งสมัยนั้นขุนนางเดิมกำลังหวาดระแวงขุนนางต่างชาติ   ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ใหญ่ที่ลูกหลานคนต่างด้าวจะเข้าสู่ตำแหน่งที่ครองบ้านครองเมือง และสามารถเงินมาส่งเมืองหลวงทุกปี พร้อมทั้งสามารถจัดตั้งกองกำลังของตัวเองได้ 

ขนาดการเข้าสู่ตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านสมัยก่อน ยุค 40 ปีขึ้นไป  ถ้ากำนัน ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าตาย ก็ต้องให้ลูกหลานกำนัน ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าสืบทอดอยู่ดี  ยกเว้นคนเก่าจะหมดเชื้อสายลูกหลานเท่านั้น  จึงจะแต่งตั้งคนใหม่ได้  แล้วนับประสาอะไรกับระดับเจ้าเมืองด้วยเล่า ในประวัติศาสตร์ หรือพงศาวดาร หรือประวัติส่วนตัวของผู้เคยเป็นเจ้าเมือง ก็มักจะมีบันทึกยืนยันว่าเป็นการสืบทอดตำแหน่งจากบรรพบุรุษทั้งนั้น   
.
มีหลักฐานรุ่นหลังหลายชิ้น พยายามสร้างประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรีให้มีเชื้อสายจีนให้ได้ เช่น  พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวถึงประวัติพระเจ้าตากสินต่อเซอร์จอห์นเบาริ่ง ตอนหนึ่งว่า “...พวกข้าราชการหลายคนจากครั้งกรุงศรีอยุธยา  ไม่เต็มใจที่จะเข้าเฝ้าถวายตัวต่อพระเจ้าตาก  ทั้งหมดมีใจโอนเอียงไปข้างแม่ทัพผู้พี่  และยิ่งกว่านั้นพวกเขาซึ่งมีใจอคติต่อพระเจ้าตากในเรื่องที่ว่าทรงมีเชื้อสายจีน ได้พากันมองท่านแม่ทัพผู้พี่ควรมีฐานันดรสูงกว่าพระองค์เสียอีกพวกผู้ดีเก่าเหล่านี้ได้ชุมนุมกันเป็นข้ารับใช้ในเรือนส่วนตัวของท่านแม่ทัพโดยมิให้ผิดสังเกต"  และก่อนที่จะขึ้นเป็นเจ้าเมืองตากนั้น ท่านได้เป็นปลัดเมืองตากอยู่ก่อนแล้ว (การเมืองสมัยกรุงธนบุรี : นิธิ เอียวศรีวงศ์) 

พระราชพงศาวดารเหนือที่ถูกชำระในสมัยรัชกาลที่ ๑ ข้อที่ ๔๗ กล่าวว่า “พระยานักเลงมีเชื้อสายพระเจ้ามักกะโท ทรงพระนามพระยาตาก จะตั้งเมืองใหม่ที่ธนบุรี”   

ได้พบสมุดไทยดำ ฉบับหมายเลข ๒/ฆ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า “พระเจ้ากรุงธนบุรี เดิมชื่อจีนแจ้ง เป็นพ่อค้าเกวียนก่อนที่จะมีความชอบในแผ่นดินจนได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ ณ เมืองตาก” 

พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา บันทึกเรื่องหนังสือพุทธทำนายของมหาโสภิตอธิการวัดใหม่ว่า “เมื่อพระนครเสียแก่พม่าแล้ว จะมีบุรุษพ่อค้าเกวียนได้เป็นพระยาครองเมืองบางกอกได้ ๑๐ ปี” 
.
แม้ว่าจะมีหลักฐานที่แสดงเรื่องราวประวัติพระเจ้ากรุงธนบุรีไว้หลายแห่ง  แต่ก็ยังไม่สามารถเชื่อถือได้เต็มที่   เพราะหลักฐานเหล่านั้นก็ยังไม่ตรงกัน  แถมมีข้อสงสัยเคลือบแคลงถึงความจริงที่มาของข้อมูลในการเขียน เช่นฉบับ ของนาย กศร.กุหลาบ   แม้บางคนเชื่อถือข้อมูลจากเอกสารจีนว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นคนเชื้อสายจีนแน่นอน  แต่ข้อมูลที่จีนได้รับก็มาจากมาหลี่ซือเหยาที่กราบทูลพระเจ้าเฉียนหลง  และหลี่ซือเหยาก็ได้รับฟังมาจากนายทหารที่ชื่อ ชื่อม่ายเซิน  และซื่อม่ายเซินก็รับฟังมาจาก ม่อซื่อหลิน(พระยาราชาเศรษฐี)ที่เป็นเจ้าเมืองเหอเซียน(พุทไธมาศ)  ม่อซื่อหลินผู้นี้ก็เป็นที่คุ้นเคยกันดีกับหลี่ซื่อเหยาข้าหลวงประจำมณฑลกวางตุ้ง และกว่างซี แถมขณะที่ซื่อม่ายเซินแวะเมืองเหอเซียน(พุทไธมาศ) เจ้าจุ้ยบุตรเจ้าฟ้าอภัยก็มาอาศัยอยู่กับม่อซื่อหลิน(พระยาราชาเศรษฐี) ที่กำลังสมคบกันคิดโค่นล้มพระเจ้ากรุงธนบุรี  รวมทั้งเอกสารต้นฉบับของจีนส่วนมากยุคราชวงศ์ชิงเจียงไคเช็คขนไปไว้ที่่ไต้หวัน  ยังไม่มีใครแปลหรือชำระออกมาอย่างครบถ้วน  ดังนั้น ถึงตอนนี้ก็ยังยากต่อการยุติว่าข้อมูลแหล่งไหนกันแน่ที่จริง หรือไม่จริงเพียงใด แล้วเราจะสรุปได้อย่างไรว่า  พระองค์ท่านเป็นลูกใคร มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ในช่วงเยาวว์วัย จนถึงได้เป็นเจ้าเมืองตาก ?  ด้วยเหตุผลหรือข้อสันนิษฐานอย่างไร ?  จากหลักฐานใด ?  
.
แต่มีกระแสความเห็นของคนส่วนหนึ่ง เชื่อกันว่า  “พระเจ้ากรุงธนบุรีท่านเป็นโอรสของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ กับ พระองค์เอี้ยง” โดยอาศัยหลักฐานจากข้อความตอนหนึ่งในหนังสือ “คำให้การของชาวกรุงเก่า และ ขุนหลวงหาวัด” (หน้า ๒๒๓ – ๒๒๔) เรียบเรียงใหม่ โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เล่าถึงราชวงศ์บ้านพลูหลวง กล่าวว่า “พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระนั้น ทรงมีพระชายาอีกองค์หนึ่งชื่อ “พระองค์เอี้ยง” เป็นธิดาของพระเจ้าบำเรอภูธร แต่ไม่ปรากฏว่ามีโอรสธิดาด้วยกัน”

และมีข้อความอีกตอนหนึ่งในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา และจากหนังสือ “คำให้การของชาวกรุงเก่า และ ขุนหลวงหาวัด” ฉบับรามัญนั้น กล่าวว่า “พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ  มีพระมเหสีที่เป็นพี่น้องร่วมชนกชนนีเดียวกัน ๒ องค์ คือ พระองค์ขาว โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็น กรมหลวงอภัยนุชิต เรียกว่า “พระพันวะษาใหญ่” กับ พระองค์พลับ สถาปนาเป็นกรมหลวงพิพิธมนตรี เรียกว่า “พระพันวะษาน้อย” ทั้งคู่นี้เป็นธิดาของเจ้าพระบำเรอภูธร มีแม่เป็นคนเพชรบุรี อยู่บ้าน สมอปรือ เชื้อพราหมณ์” 

ทำให้คนกลุ่มนี้เชื่อและสรุปว่า…ในเมื่อมีหลักฐานระบุว่า พระองค์เอี้ยง พระองค์พลับ และพระองค์ขาวเป็นธิดาของเจ้าพระบำเรอภูธร เป็นชาวสมอปรือ เพชรบุรีเหมือนกัน (พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่าเป็นหลานของพระเพทราชา เดิมชื่อ นายทรงบาศ ต่อมาเมื่อพระเพทราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ได้สถาปนาให้เป็นเจ้า มีศักดิ์ในฐานะเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเทียบเท่าเจ้าฟ้า หรือเจ้าต่างกรม ดังนั้น ธิดาของเจ้าพระบำเรอภูธรทุกองค์ จึงมีฐานันดรศักดิ์เป็น “พระองค์เจ้า” มาตั้งแต่ประสูติ)  ซึ่งต่อมาธิดาคนโต คือ พระองค์เอี้ยง ได้ไปเป็นพระชายาของ เจ้าฟ้าเพชร หรือ พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ส่วนน้องสาวอีกสองคน คือ พระองค์พลับ และพระองค์ขาว ได้เป็นชายาของเจ้าฟ้าพร หรือต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

และในเมื่อประวัติบอกว่ามารดาของพระเจ้ากรุงธนบุรี เดิมชื่อ นางเอี้ยง  คนกลุ่มนี้จึงเชื่อกันว่า คงเป็นคนเดียวกับ พระองค์เอี้ยง ธิดาเจ้าพระบำเรอภูธรชาวเมืองเพชรบุรี และเป็นพระชายาของพระเจ้าท้ายสระแน่นอน  แถมมีข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนความคิดเห็นนี้ให้มั่นใจเข้าไปอีก เพราะพงศาวดารยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ตอนหนึ่งระบุว่า "รัชกาลที่ ๑ ได้แนะนำกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) ที่จะไปสวามิภักดิ์สมัครเป็นข้าราชการในพระเจ้ากรุงธนบุรีขณะเตรียมกำลังอยู่ที่ี่ชลบุรี ให้ไปรับมารดาพระเจ้ากรุงธนบุรี ในขณะนั้นอยู่ที่ี่บ้านแหลม เมืองเพชรบุรี ไปถวายพระเจ้ากรุงธนบุรีด้วย  

จากข้อมูลนี้ทำให้คนกลุ่มนี้เชื่อมั่นมากขึ้นไปอีกว่า ตอนที่พระเจ้ากรุงธนบุรีไปครองเมืองตาก ท่านน่าจะนำมารดาท่านขึ้นไปอยู่ที่เมืองตากด้วย  และเมื่อท่านได้รับมอบหมายให้ไปเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชร  แต่ยังไม่ได้ขึ้นไปรับตำแหน่ง ก็เกิดศึกสงครามพม่ายกทัพมาล้อมตีกรุงศรีอยุธยา  ทำให้ท่านต้องอยู่ช่วยทำสงครามในกรุงศรีอยุธยาด้วย  ดังนั้น มารดาท่านก็น่าจะอยู่ที่เมืองตากไม่ใช่หรือ  ทำไมประวัติกล่าวว่ามารดาท่านอยู่ที่เมืองเพชรบุรีล่ะ  ทำไมท่านถึงเอามารดาท่านมาไว้เสียไกลถึงเพชรบุรี  ท่านจะไว้ใจให้มารดาท่านมาอยู่ไกลๆ คนเดียวได้หรือ  ถ้าเมืองเพชรบุรีไม่ใช่บ้านเกิดของมารดาท่าน  ญาติพี่น้องของท่านก็อยู่ที่นั่นมาตอด    ดูอย่างคราวสงครามโลกครั้งที่สอง คนไทยที่ี่หนีภัยสงครามจากเมืองหลวง ก็มักไปอยู่กับญาติที่ชนบท หรือถิ่นฐานที่มีคนรู้จักคุ้นเคยกัน  

ที่แปลกและชวนสงสัยมาก คือเรื่องบิดา  ถ้าบิดาของท่านเป็นขุนพิพัฒน์ ดูแลอากรบ่อนเบี้ยตามประวัติที่คนรุ่นหลังเชื่อ ทำไมเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีครั้งยังเป็นมหาดเล็กบ้าง  เจ้าเมืองบ้าง  และแม้ขึ้นครองราชย์แล้ว  ก็ไม่เคยมีหลักฐานจากที่ใดกล่าวถึงว่าพระองค์รับบิดามาอยู่ด้วย  หรือได้ยกย่องบิดาในที่ใด  หรือเอ่ยถึงบิดาจีนให้ประจักษ์ในที่ใดอีก   (คงทำนองประเภทคลอดแล้ว  บิดาสูญหายไปจากโลกนี้ทันที)   

และต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าล้อมรอบเมือง พระเจ้าตากสินเป็นใครถึงได้รับการไว้วางใจให้คุมทหารปืนใหญ่ต่อสู้กับพม่าในเขตพระราชฐาน ขนาดเป็นเจ้าเมืองบ้านนอกธรรมดาแท้ๆ  เจ้าเมืองอื่นที่ใหญ่กว่าก็มี ขุนนางผู้ใหญ่ก็มี เชื้อพระวงศ์ก็มีทำไมไม่ใช้ให้เป็นแม่ทัพคุมทหารต่อสู้ล่ะ   ถ้าพิจารณาคราวรวบรวมไพร่พลเพื่อกอบกู้เอกราช ถ้าขุนนางเก่าๆไม่ได้ข่าวระแคะระคายว่าพระองค์ท่านมีเชื้อสายเจ้า การยอมรับจะมีขึ้นอย่างรวดเร็วหรือ การเป็นพระมหากษัตริย์ในอดีตที่บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นแล้ว กษัตริย์องค์ต่อมามักมีเชื้อสายทางใดทางหนึ่งจากษัตริย์องค์เก่าทั้งนั้น เช่น พระเจ้าทรงธรรมก็เป็นโอรสองค์หนึ่งของพระเอกาทศรถ(บางแห่งบอกว่าเป็นพระโอรสของพระนเรศวร) พระเจ้าปราสาททองก็เป็นโอรสของพระเอกาทศรถ พระมหาธรรมราชาก็มีเชื้อสายกษัตริย์จากกรุงสุโขทัย พระเพทราชาจริงๆก็มีเชื้อสายเจ้าสุโขทัยจากพระมารดาท่าน เป็นต้น  

แม้แต่ราชวงศ์จักรี  ก็ยังมีผู้เสาะแสวงหาค้นคว้าหลายท่าน เช่น หลวงวิจิตรวาทการ เป็นต้น  จนเชื่อว่าต้นตระกูลสืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาปาน  น้องพระเพทราชา  ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าแม่วัดดุสิต  ที่เป็นแม่นมของพระนารายณ์มหาราช   ซึ่งในสมัยพระเพทราชาขึ้นครองราชย์  ลูกหลานของเจ้าพระยาโกษาปาน ได้พากันอพยพไปอยู่ที่บ้านสะแกกรัง และอาศัยอยู่จนเหตุการณ์สงบลง ก็พากันอพยพกลับมาตั้งอยู่ที่บริเวณป้อมเพชรในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาแล้วเข้ารับราชการ  โดยนายทองด้วง ได้เป็น หลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรี และนายบุญมา ได้เป็นนายสุดจินดา มหาดเล็กหุ้มแพ

ซึ่งอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็เขียนไว้หนังสือ โครงกระดูกในตู้ หน้า 18  ตอนหนึ่งว่า "แรกเริ่มเดิมที ท่าน (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ) เกิดมาในตระกูลขุนนางในกรุงศรีอยุธยา ตระกูลของท่านเป็นตระกูลขุนนางสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน  นับแต่เจ้าพระยาโกษาปาน นักรบและนักการทูต ผู้มีชื่อเสียงในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้าพระยาโกศาปานเป็นบุตรเจ้าแม่วัดดุสิต  ซึ่งเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์ เจ้าแม่วัดดุสิตมีศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าในราชวงศ์พระมหาธรรมราชา  ซึ่งสืบเชื้อสายมาแต่ราชวงศ์พระร่วงสุโขทัย"   

เหตุผลเหล่านี้ จึงทำให้ผมมีความเชื่อตามกลุ่มนี้ไปด้วยว่า “พระเจ้ากรุงธนบุรี หรือพระเจ้าตากสินมหาราช” เป็นพระโอรสของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ และมารดาท่านเป็นธิดาของพระเจ้าบำเรอภูธร เจ้าเมืองเพชรบุรีแน่นอน  ไม่ใช่ลูกคนจีนเชื้อสายจีนดังที่พงศาวดารรุ่นหลัง  หรือข้อมูลจากเอกสารจีนระบุถึงครับ   

.

ตอนหน้าผมจะเขียนอย่างละเอียด  ถึงข้อมูลอีกด้านที่สามารถแย้งหลักฐานที่กล่าวถึงพระเจ้ากรุงธนบุรีจากแหล่งต่างๆ ทั้งที่เป็นหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ ของ กศร.กุหลาบ  หรือพงศาวดาร  หรือจากเอกสารจีนได้   แต่ที่แน่ๆ ผมเชื่อว่าท่านอดีตนายกฯ ทักษิณไม่ใช่พระเจ้าตากสินกลับชาติมาเกิด  เพราะท่านทักษิณ คือ บุคคลที่ต้องกลับมาใช้หนี้เวรกรรมที่เคยทำต่อพระเจ้าตากสินมากกว่า  จึงต้องเจอสิ่งหนักๆ มากมายในชีวิตทั้งการถูกลอบฆ่า  และการใส่ร้ายป้ายสี อย่างรุนแรง  การถูกแย่งชิงทรัพย์สินไปแบบน่าเกลียด  แต่ที่น่ากลัวและน่าขยะแขยงมากที่สุด คือ การตั้งใจวางระเบิดคาร์บอมต่อท่านทักษิณที่ฝั่งธนบุรี  โดยไม่คำนึงถึงประชาชนที่จะตาบและบาดเจ็บในรัศมีระเบิดเลย   เดชะบุญกุศลของประเทศไทยและของตัวท่านทักษิณ  ระเบิดจึงไม่ทำงาน    

หมายเลขบันทึก: 543655เขียนเมื่อ 26 กรกฎาคม 2013 09:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 เมษายน 2024 19:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

ขอบคุณครับ เรื่องราวประวัติศาสตร์

 

..... ขอบคุณเรื่อง ราวประวัติศาสตร์ดีดี นี้ค่ะ....

ขอบคุณค่ะ ที่กรุณาแบ่งปันค่ะ

ขอถามเรื่องหลวงทรงบาศ หรือ เจ้าพระบำเรอภูธร ได้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านคำหยาดใช่มั้ยครับ ที่เป็นกรมช้าง ม้า

ขอถามเรื่องหลวงทรงบาศ หรือ เจ้าพระบำเรอภูธร ได้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านคำหยาดใช่มั้ยครับ ที่เป็นกรมช้าง ม้า

ขอตอบ คุณ Nakasuan    ตำหนักคำหยาดไม่ใช่ของเจ้าพระยาบำเรอภูธรครับ   ท่านเจ้าพระยาและลูกๆหลาน  ยังอยู่ที่เมืองเพชรบุรีจนตลอดอายุขัย   (ตอนที่รัชกาลที่ 1 ไปรับ พระมารดาของพระเจ้าตากสิน  ท่านไปรับที่เมืองเพชรบุรีครับ)   ส่วนใครเป็นเจ้าของตำหนักคำหยาด  มีหลายกระแสสันนิษฐาน 

บางพวกก็ว่า  เป็นของเจ้านายที่หนีราชภัยไปอยู่สมัยพระนารายณ์   

บางพวกก็ว่าเป็นของพระเจ้าเสือไว้เป็นที่ประพาสและตกปลา  

บางพวกก็ว่าเป็นที่พระเจ้าแผ่นดินสร้างถวายพระภิกษุที่เป็นเจ้านาย (เจ้าฟ้าขุนหลวงหาวัด ?)

ซึ่งในคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เจ้าอยู่หัวเสด็จทอดพระเนตรพระตำหนักคำหยาด คราวเสด็จประพาสต้น พ.ศ.2451 ได้เสด็จมายังโบราณสถานแห่งนี้และทรงมีพระราชวินิจฉัยดังปรากฏ ในพระราชหัตถเลขาอรรถาธิบาย เรื่อง เสด็จลำน้ำมะขามเฒ่าไว้ว่า เดิมทีทรงมีพระราชดำริว่า กรมขุนพรพินิต (ขุนหลวงหาวัด หรือ เจ้าฟ้าอุทุมพร) ทรงผนวชที่วัดโพธิ์ทองแล้วสร้างพระตำหนักแห่งนี้ขึ้นเพื่อจำพรรษาเนื่องจากมีชัยภูมิที่เหมาะสม ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นตัวพระตำหนักสร้างด้วยความประณีตสวยงามแล้วพระราชดำริเดิมก็เปลี่ยนไป ด้วยทรงเห็นว่า ไม่น่าที่ขุนหลวงหาวัดจะทรงมีความคิดใหญ่โต สร้างที่ประทับชั่วคราวหรือที่มั่นในการต่อสู้ให้ดูสวยงามเช่นนี้


 ดังนั้น จึงทรงสันนิษฐานว่า พระตำหนักนี้คงจะสร้างขึ้นตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เพื่อเป็นที่ประทับแรม เช่นเดียวกับที่พระเจ้าปราสาททองทรงสร้างที่ประทับไว้ที่บางปะอิน เนื่องจากมีพระราชนิยมเสด็จประพาสเมืองแถบนี้ ทั้งพระองค์ได้เสด็จพระนอนขุนอินทประมูลถึง 2 ครั้ง และขณะเดียวกันที่กรมขุนพรพินิต (ขุนหลวงหาวัด หรือ เจ้าฟ้าอุทุมพร พระราชโอรสองค์ที่ 3 ในพระเจ้าบรมโกศ กับกรมขุนพิพิธมนตรี) ผนวชอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์ก็ได้ทรงนำข้าราชบริพารกับพระภิกษุที่จงรักภักดีต่อพระองค์ เสด็จลงเรือพระที่นั่ง ออกจากพระนครศรีอยุธยามาจำพรรษาที่วัดโพธิ์ทองคำหยาด และประทับอยู่ที่พระตำหนักคำหยาดนี้เพื่อไปสมทบกับชาวบ้านบางระจันก็เป็นได้

จากการสันนิษฐานของผม  เนื่องจากตำหนักนี้อยู่กลางทุ่งนา   และเมื่อเวลาหน้าฝน  ย่อมเต็มไปด้วยสุดลูกหูลูกตา    จึงยากที่จะมีคนรู้ข่าวคราวได้ง่าย  ผมจึงคล้อยตามไปประเด็นที่ประทับของพระภิกษุเจ้านายตามแนวพระราชดำริของรัชกาลที่ 5 ครับ

ขอโทษนะครับที่ตอบช้า  ไม่ได้เข้าเว็บนี้นานแล้วครับ  มัวติดธุระเรื่องอื่นอยู่

  • มีเหตุผลครับ ขอแก้เรื่องสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมกับสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมเด็จพระเจ้าปราสาททองเป็นพระโอรสของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ส่วนสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเป็นพระโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ จึงจะถูก สมัยนี้มีคนเชื่อแบบนี้มากยิ่งขึ้นครับ พระมารดาของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองคือสมเด็จพระมเหสีมณีจันทร์ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระมารดาของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมคือผู้หญิงชาวบ้านที่เกาะบางปะอิน (ที่ไม่ได้ชื่ออินด้วยซ้ำไป) ของสมเด็จพระเอกาทศรถ


ส่วนพระตำหนักคำหยาด เป็นของสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรครับ ที่สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์ ทรงสร้างไว้ให้พระอนุชา

พระบำเรอภูธร เป็นหลานสมเด็จพระเพทราชา เป็นคนเมืองวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง

มารดาของ พระองค์รัตนา พระองค์นกเอี้ยง พระองค์ขาว พระองค์พลับ ชื่อว่า ลูกจันทร์ เป็นผู้หญิงชาวบ้านสมอพลือ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี เป็นคนนับถือศาสนาพราหมณ์ มีบรรพบุรุษอพยพมาจากประเทศอินเดียครับ

พระเจ้าตากสินมีพ่อเป็นคนจีน แสดงว่ากษัตย์สมัยโบราณไม่ใช่มนุษย์ทางเรา

พระเจ้าตากสินมีพ่อเป็นคนจีน แสดงว่ากษัตย์สมัยโบราณไม่ใช่มนุษย์ทางเรา จากภาพวาดร่วมสมัยของพระนารายณ์และเชื่อพระวงศ์อื่นๆ แสดงว่ากษัตรย์สมัยอยุธยาเป็นมนุษย์พันธ์คอเคเชียน ผมสีทอง นัยต์ตาสีฟ้า ไม่ใช่คนเอเซีย ซึ่งตรงกับบันทึกเขมรที่ว่า มีคนกลุ่มหนึ่งที่มารุกรานเขมรโบราณ ที่มีอวัยวะส่วนหนึ่งเป็นสีทอง พม่าสู้รับกับกษัตรย์อยุธยาที่มีผมสีทอง นัยส์ตาสีฟ้า ไม่ใช่หน้าตาแบบเรา เพียงแต่คนกลุ่มนี้ได้สูญหายไปจากโลกไม่เหลือเผ่าพันธ์แล้วเนื่องจากกษตรย์อยุธยาผมสีทอง นัยตาสีฟ้าถูกทหารพม่าสังหารฆ่าล้างเผาพันธ์ เมื่อสิ้นเชื้อสายคนกลุ่มนี้ จึงมีการย้ายเมืองหลวงจากอยุธยามาธนบุรี พระนเรศวรเป็นเรื่องเล่าจินตนาการของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งทึกทักไปเองว่ามีรูปกายเหมือนกับคนทางเรา ในเมื่อภาพวาดร่วมสมัยของพระนารายณ์แสดงว่ากษัตยร์ยอยุธยามีผมสีทองนัยตาสีฟ้า แสดงว่าพระนเรศวรมีรูปกายเป็นมนุษย์พันธ์คอเคเซีย ผมสีทองนัยตาสีฟ้า มนุษย์ทางเราถูกปกครองโดยคนต่างด้าวกลุ่มนี้รวม 400 ปี เราไม่ใช่คนไทย แต่เป็นเขมรกะมอญที่ถูกปกครองจนเรียกตัวเองใหม่ว่า ไท ไต หรือไทย ถึงเวลาที่สังคมปัจจุบันควรขุดพระศพกษัตย์อยุธยาเพื่อพิสูจนร์ว่าเป็นกลุ่มชาติพันธ์คอเคเซียนที่มีผมสีทอง นัยตาสีฟ้าตามภาพวาดร่วมสมัยที่เขียนขึ้นเมื่อ 300 ปีก่อนหรือไม่

แล้วพระเจ้าตากสินสวรรคตที่ใดครับ หลวงพ่อจรัญท่านเล่าว่า ที่ถ้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี ถ้ำแห่งนั้นอยู่ที่ไหนครับ

พ่อพระเจ้าตากสินเป็นคนจีนนั้นแหละ แต่ได้รับราชการเพราะจีนเป็นมหาอำนาจโลกโบราณที่ยิ่งใหญ่มาก

นางนกเอี้ยง ไม่ใช่สตรีตามท้องไร่ท้องนา  เป็นครอบครัวทหารใหญ่ของอยุธยา ใกล้ชิดกับกษัตรย์ไทยสมัยอยุธยา

ทำไมคนจีนตอนนั้นสามารถรับราชการในราชสำนักไทยสมัยอยุธยาหลายคน เพราะว่าจีนเป็นมหาอำนาจโลกโบราณ(ไม่ต่างจากอังกฤษ ฝรั่งเศสยุคอาณานิคมตะวันตก) ย่อมกำหนดชะตากรรมชาติอื่นๆ ในเอเซีย และมีบทบาททางการทหารแบบนี้ต่อชาติอื่นๆ ในเอเซ๊ยตะวันออกเฉียงใต้มาตลอดนับร้อยๆ ปีตั้งแต่ตั้งสุโขทัยจนถึงอยธุยาตอนปลาย พระเจ้าอู่ทองก็เป็นจีน(บางคนเชื่อกันว่าเป็นจีนแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์) เลยด้วย จีนโบราณได้ดินแดนเยอะแยะไปหมด 

 สมัยโบราณจีนมีเทคโนโลยีสูงสุดของโลก มีเรือเดินทะเลใหญ่สุด ขนาดฝรั่งยังกล่าวว่า จีนโบราณสามารถยึดยุโรปเป็นเมืองขึ้นแต่ไม่ทำ ซึ่งสมัยนั้นตรงกับสมัยอยธุยา

เพียงแต่ต่อมาฝรั่งเข้ามาเป็นใหญ่ในภายหลัง จนเราก็เลยลืมว่าจีนเคยยิ่งใหญ่แค่ไหน พอฝรั่งเป็นใหญ่ไทยก็เคยจ้างฝรั่งเป็นขุนนางหลายคน เพื่อเป็นที่ปรึกษาในการต่อรองกับชาติตะวันตก พ่อพระเจ้าตากสินที่เป็นคนจีนก็เข้ามาในราชสำนักไทยสมัยอยุธยาในลักษณะกันนี้

คำว่า "เจ็ก" ไม่ใช่คำที่ใช้ในสมัยอยุธยาด้วยซ้ำ แต่คำว่า เจ็ก เพิ่งมาเกิดขึ้นหลังจากอาณาจักรจีนโบราณล่มสลาย สมัยเรานี้แหละ ซึ่งเป็นสมัยที่มีคนจีนเข้ามาแบบกระจอกเป็นกูลีในภายหลัง 

พวกคนไทหรือไตในสิบสองปันนาของจีนปัจจุบันยังเขียนเล่าเป็นภาษาอังกฤษว่าเมื่อเจ็ดร้อยแปดร้อยปีที่แล้ว (สมัยตรั้งสุโขทัย) เขาใช้กำลังทหารตีเมืองมอญหรือเขมรทางตอนใต้ (คือดินแดนไทยในปัจจุบัน)  แล้วตั้งอาณาจักรไทต่างๆ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (ลานนา ล้านช้าง สุโขทัย แทนที่เขมร) พวกคนไทแม้เป็นศัตรูกับจีนก็จริงแต่ก็นับญาติกับจีน นักประวัติศาสตร์ไทยยังเคยบอกว่าพวกเราเรื่องจริงเป็นคนในเมืองเดิมมอญกะเขมร (ที่ต่อมาถูกเปลี่ยนสัญชาติให้เรียกตัวเองว่าไทตามผู้ปกครองไทคนใหม่ที่รบชนะเขมร) วัฒนธรรมคนเหนือของไทยมีหลายอย่างคล้ายๆ จีนไม่ใช่อินเดียด้วย เสื้อผ้าเหนือเหมือนกี่เพ้าจีนไหมล่ะ

ก่อนยุคอาณานิคมฝรั่ง จีนเป็นมหาอำนาจโลกเบอร์หนึ่ง พระเจ้าตากสินยังต้องขอร้องให้จีนเข้ามาช่วยกองทัพไทยในการรับกับพม่า จีนโบราณไม่เหมือนจีนในปัจจุบัน

สมัยรัชกาลที่ 5 ก็เคยจ้างคนจีนรับราชการเป็นพระประเพณีเหมือนกัน (ตอนยุคอาณานิคม) ตามแบบราชสำนักอยุธยา ไม่แปลกหรอกสมัยอยุธยาคนจีนจึงเข้ามาราชการกันเยอะยิ่งกว่าสมัยรัตนโกสินทร์เสียอีก เพราะตอนนั้นจีนโบราณใหญ่ที่สุดที่สุดของโลก




พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท