หลังจากวันออกพรรษาเป็นเวลา
๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒
หรือจำง่าย ๆ ว่าตั้งแต่วันตักบาตรเทโวจนถึงวันลอยกระทง
เป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า "เทศกาลกฐิน"
ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ ๘ ตุลาคม – ๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
เพื่อให้ทราบว่า "กฐิน" คืออะไร
มีความหมายเช่นไรต่อพุทธศาสนิกชน กลุ่มประชาสัมพันธ์
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
จึงขอนำเรื่องราวของ “กฐิน” มาเสนอเพื่อเป็นความรู้ ดังนี้
ความหมาย
คำว่า
“กฐิน” มีความหมาย ๔ ประการคือ
๑.
เป็นชื่อของกรอบไม้
อันเป็นแม่แบบสำหรับทำจีวรที่อาจเรียกว่า "สะดึง"
ก็ได้
เนื่องจากสมัยพุทธกาลการทำจีวรให้มีลักษณะตามกำหนดกระทำได้โดยยาก
จึงต้องทำกรอบไม้สำเร็จรูปไว้ให้เป็นอุปกรณ์ในการทำผ้านุ่ง/ผ้าห่ม/ผ้าห่มซ้อนที่รวมเรียกว่า
จีวร ผืนใดผืนหนึ่งก็ได้
(ผ้านุ่งพระเรียกสบง/ผ้าห่มเรียกจีวร/ผ้าห่มซ้อนเรียกสังฆาฎิ)
โดยพระสงฆ์จะช่วยกันทำโดยอาศัยแม่แบบนี้
เมื่อทำเสร็จและพ้นกำหนดกาลแล้ว
ก็จะรื้อไม้แม่แบบเก็บไว้ใช้ในปีต่อ ๆ ไป
การรื้อไม้แม่แบบเพื่อเก็บไว้ใช้ในโอกาสหน้านี้เรียกว่า
"เดาะ" หรือ "กฐินเดาะ"
(เดาะกฐินก็เรียก)
๒.
เป็นชื่อของผ้า
ที่ถวายแก่สงฆ์เพื่อทำจีวรตามแบบหรือกรอบไม้นั้น
และต้องถวายตามกำหนดเวลา ๑ เดือนดังกล่าว
ซึ่งผ้านี้จะเป็นผ้าใหม่ ผ้าเก่าฟอกสะอาดหรือผ้าบังสุกุล
(ผ้าที่เขาทิ้งแล้ว) ก็ได้
ผู้ถวายจะเป็นคฤหัสถ์หรือภิกษุสามเณรก็ได้
ถวายแก่สงฆ์แล้วเป็นอันใช้ได้
๓.
เป็นชื่อของบุญกิริยา คือ
การทำบุญถวายผ้ากฐินเพื่อให้สงฆ์ทำเป็นจีวร
ซึ่งต้องเป็นพระสงฆ์ผู้จำพรรษาอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งครบ ๓ เดือน
ทั้งนี้
เพื่อสงเคราะห์ผู้ประพฤติชอบให้มีผ้านุ่งหรือผ้าใหม่ผลัดเปลี่ยนของเก่าที่จะขาดหรือชำรุด
การทำบุญถวายผ้ากฐินหรือที่เรียกกันติดปากว่า
"ทอดกฐิน"
ก็คือการทอดหรือวางผ้าลงไปแล้วกล่าวคำถวายในท่ามกลางสงฆ์
และต้องทำในเวลาที่กำหนด ๑ เดือนที่ว่า
ถ้าทำก่อนหรือหลังไม่ถือว่าเป็นกฐิน
๔.
เป็นชื่อของสังฆกรรม คือ
กิจกรรมของสงฆ์ที่จะต้องมีการสวดประกาศขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมสงฆ์ในการมอบผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
ความเป็นมา
การที่มี
"กฐิน"
เกิดขึ้นมีตำนานเล่าว่าในครั้งพุทธกาล
ครั้งหนึ่งภิกษุชาวเมืองปาฐาประมาณ ๓๐ รูป
ถือธุงดงควัตรอย่างยิ่งยวด
มีความประสงค์จะเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งขณะนั้นประทับอยู่กรุงสาวัตถี
จึงพากันเดินทางไป
พอไปถึงเมืองสาเกตก็เป็นวันเข้าพรรษาพอดีจึงต้องจำพรรษาอยู่ที่นั่นตามพระวินัย
ครั้นออกพรรษาปวารณาแล้วก็รีบเดินทางไปเฝ้า
ระหว่างทางฝนตกหนทางเป็นโคลนตม
ต้องบุกลุยไปจนถึงกรุงสาวัตถีได้รับความลำบากมาก
ครั้งได้เฝ้าพระพุทธองค์ทรงมีปฏิสันถารถึงเรื่องจำพรรษาและการเดินทาง
ภิกษุเหล่านั้นก็ได้ทูลถึงความตั้งใจที่จะมาเฝ้าและความยากลำบากในการเดินทางให้ทรงทราบ
พระพุทธเจ้าจึงทรงมีพระพุทธานุญาตให้พระภิกษุผู้จำพรรษาครบถ้วนแล้วกรานกฐินได้
และจะได้รับอานิสงส์จากพระวินัยบางข้อ
(กรานกฐินเป็นพิธีฝ่ายภิกษุที่ได้รับมอบผ้ากฐิน
แล้วนำผ้าที่ได้ไปตัดเย็บย้อมทำเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่ง)
ประเภทของกฐิน
กฐิน แยกได้เป็น ๒
ประเภทใหญ่ คือ ๑. กฐินหลวง
๒. กฐินราษฎร์
๑.
กฐินหลวง ยังแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
๑.๑
กฐินที่กำหนดเป็นพระราชพิธี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินด้วยพระองค์เอง
หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระบรมวงศานุวงศ์หรือองคมนตรีเป็นผู้แทนพระองค์ไปถวายเป็นประจำ
ณ วัดสำคัญ ๆ ปัจจุบันมี ๑๖ วัด เช่น
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
วัดสุทัศน์เทพวราราม วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นต้น
๑.๒
กฐินต้น หมายถึง
กฐินที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐิน
ณ
วัดที่มิใช่วัดหลวงและมิได้เสด็จไปอย่างเป็นทางการหรืออย่างเป็นพระราชพิธี
แต่เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลส่วนพระองค์
๑.๓
กฐินพระราชทาน
เป็นกฐินที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานผ้าของหลวงแก่ผู้ที่กราบบังคมทูลขอพระราชทานไปถวายยังวัดหลวง
ที่นอกเหนือไปจากวัดสำคัญ ๑๖ วัดที่กำหนดไว้
เหตุที่มีกฐินพระราชทาน
ก็เพราะปัจจุบันวัดหลวงมีจำนวนมาก จึงเปิดโอกาสให้กระทรวง ทบวง
กรมต่าง ๆ ตลอดจนคณะบุคคลต่าง ๆ
ที่สมควรขอพระราชทานผ้าพระกฐินไปถวายได้
ซึ่งกฐินดังกล่าวส่วนใหญ่ก็คือกฐินที่หน่วยงานราชการต่าง ๆ
นำไปถวายนั่นเอง ทั้งนี้ ผู้ที่จะรับพระราชทานผ้ากฐินไปถวาย ณ
วัดหลวงวัดใดต้องติดต่อไปยังกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
ตามระเบียบเพื่อเป็นการจองไว้ก่อนด้วย
๒.
กฐินราษฎร์ หมายถึง
กฐินที่ราษฎรหรือประชาชนผู้มีศรัทธานำผ้ากฐินของตนไปถวายตามวัดต่าง ๆ
ยกเว้นวัดหลวง ๑๖ วัดที่กล่าวไว้แล้ว ซึ่งจะมีชื่อเรียกต่าง ๆ
ตามลักษณะของการทอด คือ
๒.๑
กฐินหรือมหากฐิน
เป็นกฐินที่ราษฎรนำไปทอด ณ
วัดใดวัดหนึ่งที่ตนศรัทธาเป็นการเฉพาะ
ผ้าที่เป็นองค์กฐินจะเป็นผืนเดียวหรือหลายผืนก็ได้
จะเย็บแล้วหรือไม่ก็ได้
แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นผ้าสำเร็จรูปแล้ว และนิยมถวายของอื่น
ๆ ที่เรียกว่า บริวารกฐิน ไปพร้อมกับองค์กฐินด้วย
เช่น เครื่องอุปโภคบริโภคของพระภิกษุสงฆ์ อย่างหมอน โอ่งน้ำ เตา
ไม้กวาด จอบ เสียบ อาหาร ยาต่าง ๆ เป็นต้น
๒.๒
จุลกฐิน
เป็นกฐินที่ต้องทำด้วยความรีบเร่ง เดิมเรียกแบบไทย ๆ ว่า
กฐินแล่น
เจ้าภาพที่จะทอดกฐินเช่นนี้ได้ต้องมีพวกและกำลังมากเพราะต้องเริ่มตั้งแต่ปั่นฝ้ายเป็นด้าย
ทอด้ายให้เป็นผ้า ตัดผ้าและเย็บผ้าเป็นจีวร ย้อมสี
และต้องทอดภายในวันนั้น และพระสงฆ์ก็ต้องกรานและอนุโมทนาในวันนั้น ๆ
ด้วย
เรียกว่าเป็นกฐินที่ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จภายในวันเดียว
๒.๓
กฐินสามัคคี
เป็นกฐินที่มีเจ้าภาพหลายคนร่วมกัน
ไม่จำเป็นว่าใครบริจาคมากน้อย
แต่มักตั้งเป็นคณะทำงานขึ้นมาดำเนินการและมีหนังสือบอกบุญไปยังผู้อื่น
เมื่อได้ปัจจัยมาเท่าไรก็จัดผ้าอันเป็นองค์กฐินรวมทั้งบริวารไปทอด ณ
วัดใดวัดหนึ่งที่จองไว้
ซึ่งกฐินชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
เพราะนอกจากทำบุญกฐินแล้ว ยังนำปัจจัยที่เหลือไปช่วยทำนุบำรุงวัด เช่น
ก่อสร้างศาสนสถาน บูรณะปฎิสังขรณ์โบสถ์ เจดีย์ เป็นต้น
๒.๔
กฐินตกค้าง หรือ
กฐินโจร
กล่าวคือในท้องถิ่นที่มีวัดมาก ๆ อาจจะมีวัดตกค้างไม่มีใครไปทอด
จึงมีผู้มีจิตศรัทธาเสาะหาวัดอย่างนี้ แล้วนำกฐินไปทอด
ซึ่งมักจะเป็นวันใกล้สิ้นเทศกาลกฐินหรือวันสุดท้าย จึงเรียกว่า
กฐินตกค้าง หรืออาจเรียกว่า กฐินโจร
เพราะกิริยาอาการที่ไปทอดอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวจู่ ๆ
ก็ไปทอด
ไม่บอกกล่าวล่วงหน้าให้วัดรู้เพื่อเตรียมตัวคล้ายโจรบุก
ซึ่งกฐินแบบนี้ต่างกับกฐินอื่นคือ ไม่มีการจองล่วงหน้า
และจะทอดเฉพาะวัดที่ยังไม่มีใครทอด จะทอดหลายวัดก็ได้
และสามารถเอาของไทยธรรมที่เหลือจากวัดที่ไม่ได้ทอด
(กรณีไปหลายวัด) ไปจัดเป็นผ้าป่า เรียกว่า
"ผ้าป่าแถมกฐิน" ก็ได้
การทอดกฐินถือเป็นการทำบุญพิเศษที่ทำได้เพียงปีละครั้ง
และต้องอยู่ภายในกำหนดเวลาหนึ่งเดือนตามพุทธบัญญัติ
ดังนั้น อานิสงส์หรือผลดีจึงมีหลายประการ กล่าวคือ
ได้สงเคราะห์พระสงฆ์ผู้จำพรรษาให้ได้ผ้านุ่งห่มใหม่
ได้ชื่อว่าทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
สร้างกุศลจิตแก่ผู้ทำบุญเพราะทำด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
อีกทั้งการทอดกฐินยังก่อให้เกิดความสามัคคี
เป็นการร่วมมือกันทำคุณงามความดี
และหากการถวายกฐินนั้นมีส่วนในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามด้วย
ก็จะมีส่วนช่วยรักษาศาสนสถานและศาสนวัตถุให้ยั่งยืนต่อไป
ความเป็นของการทอดผ้าป่า
ในสมัยพุทธกาล
ผ้าที่พระภิกษุจะนุ่งห่มได้นั้น
ต้องมาจากผ้าบังสุกุลเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้
การหาผ้ามาทำจีวรจึงลำบากมาก ต้องไปเที่ยวหาเศษผ้าที่เขาตัดเศษทิ้ง
หรือผ้าเก่าๆตามกองขยะ
หรือผ้าห่อศพที่เขามาทิ้งไว้ที่ป่าช้ามาใช้ทำจีวร
กว่ารวบรวมหรือหาได้ครบทำจีวรสักผืนบางทีก็เกิน ๑๐ วัน ก็ทำไม่ได้อีก
เพราะผิดวินัย
อีกทั้งการตัดเย็บสมัยก่อนพระต้องเย็บและย้อมผ้าด้วยตนเอง (ดังนั้น
ในบริขารที่ถวายพระ แม้ในปัจจุบัน
เราจึงเห็นมีด้ายและเข็มอยู่ด้วย)
เมื่อพุทธศาสนิกชนครั้งกระโน้น
เห็นความยากลำบากของพระในเรื่องนี้
และได้พิจารณาเห็นว่าหากช่วยพระให้หมดความยากลำบากดังกล่าว
น่าจะได้บุญมากทีเดียว
แต่เมื่อช่วยโดยตรงคือไปถวายตรงๆไม่ได้เพราะผิดวินัย
ก็เลยสังเกตดูว่าพระท่านเดินไปทางไหนเป็นปกติ ก็เอาผ้าไปหมกดิน
หมกฝุ่น หรือหมกขยะหรือในป่าช้าให้ชายโผล่ออกมาให้ท่านสังเกตเห็น
แต่ต้องทำเหมือนว่าเจ้าของทิ้งหรือไม่มีเจ้าของแล้ว
เมื่อพระท่านเห็นและเข้าใจเช่นนั้น ท่านก็จะชักบังสุกุล
นำไปใช้ตัดจีวรต่อไป
ซึ่งกิริยาที่ต้องเอาผ้าไปทิ้งไว้ที่กองขยะหรือในป่าช้าเช่นนี้
เราจึงเรียกว่า “ทอดผ้าป่า”
ครั้นต่อมาหมอชีวกได้ทูลขอพระพุทธานุญาตให้ภิกษุรับคหบดีจีวรได้
ก็ทรงอนุญาต ตั้งแต่นั้นมา
คนใจบุญทั้งหลายก็สามารถวายจีวรแก่พระสงฆ์ได้โดยตรง
อย่างไรก็ดี
พระพุทธองค์ก็ยังทรงสรรเสริญภิกษุที่ทรงผ้าบังสุกุล
และยังมีพระภิกษุที่ประสงค์จะทรงผ้าบังสุกุลอยู่
การทอดผ้าป่าจึงมีอยู่และได้สืบทอดเป็นประเพณีมาจนปัจจุบัน
โดยหลักใหญ่การทอดผ้าป่า ต้องมีผ้าขาวทั้งผืน เพื่อทำจีวร
หรือจะเป็นผ้าจีวรสำเร็จรูปตัวเดียวหรือหลายตัว
ไตรเดียวหรือหลายไตรก็ได้ นอกจากนี้ ก็ยังมีบริวารผ้าป่า เช่น
ผลไม้ต่างๆ อาหาร ยารักษาโรค ฯลฯ
สมัยก่อนถ้าทอดในป่า ก็จะนำผ้าไปพาดไว้ตามต้นไม้กิ่งไม้
ถ้าไม่มีก็หักกิ่งไม้อื่นมาปักสำหรับทอดผ้า
เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผ้าป่า
แล้วไปวางไว้ตามทางที่พระผ่าน
แต่ในปัจจุบันได้มีการปรับเปลี่ยนมาโดยลำดับ ที่เราเห็นในขณะนี้
ก็มักจะเป็นถัง มีต้นไม้ปักอยู่กลางมีผ้าจีวรพาดอยู่
พร้อมมีบริขารบางอย่าง โดยเฉพาะธนบัตรปักอยู่ตามกิ่งไม้
และมักจะมีรูปชะนีเกาะอยู่ เพื่อแทนสัญลักษณ์ป่า
เป็นที่น่าสังเกตว่าปัจจุบันการทอดกฐินหรือผ้าป่าได้มีการเบี่ยงเบนไปจากวัตถุประสงค์เดิม
และก่อให้เกิดความลำบากใจแก่ผู้ร่วมทำบุญเป็นอย่างมาก
เพราะมักมีการเรี่ยไรกันอย่างพร่ำเพรื่อ
และหลายแห่งหลายคนถูกขอร้องแกมบังคับให้ร่วมทำบุญ
ทำให้เทศกาลกฐินหรือการทอดผ้าป่ากลายเป็นการทำบุญที่หลายคนเบือนหน้าหนี
ทั้ง ๆ ที่เป็นการสร้างบุญกุศลที่ดี ดังนั้น พุทธศาสนิกชน
ไม่ว่าจะเป็นบุคคล
หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนจึงควรพิจารณาและจัดทอดกฐินและผ้าป่าให้ถูกต้องตามประเพณี
และให้เป็นไปตามกำลังศรัทธาของผู้บริจาค และมีเหตุอันสมควร
เช่นทอดเพื่อหาปัจจัยมาซ่อมแซมวัดที่ทรุดโทรมให้มั่นคงขึ้น
แต่มิใช่เพื่อสร้างวัดให้ใหญ่โต หรูหรา
เพราะศาสนสถานควรเป็นที่ที่คนเข้าไปแล้วเกิดความสุข สงบ ร่มเย็น
มิใช่แหล่งเพาะเชื้อกิเลสให้พอกพูนขึ้น และการฉลองกฐินหรือผ้าป่า
ไม่ควรมุ่งความสนุกสนาน หรือความฟุ่มเฟือย
เพราะมิใช่วัตถุประสงค์
ข้อสำคัญควรงดการเลี้ยงสุราเมรัยระหว่างเดินทางหรือในระหว่างมีงานเพื่อความปลอดภัยทั้งตนเองและผู้อื่นด้วย
ที่มา: บทความของ อมรรัตน์ เทพกำปนาท
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
กระทรวงวัฒนธรรม
|