การทำงานแบบ “บูรณาการศาสตร์ในพื้นที่เดียวกัน” ถือเป็นประเด็นสำคัญที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการขับเคลื่อนโครงการ “หนึ่งหลักสูตร หนึ่งชุมชน” การบูรณาศาสตร์ที่ว่านั้น ครอบคลุมทั้งศาสตร์ในคณะเดียวกัน หรือแม้แต่ศาสตร์ข้ามคณะ
กรณีดังกล่าวสะท้อนภาพที่น่าสนใจในการทำงานของสองหลักสูตรจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ ซึ่งลงพื้นที่ ณ บ้านดอนหน่อง ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2556
เก็บข้อมูลชุมชนร่วมกัน : ชุมชนไม่ต้องถูกระทำซ้ำแบบไม่รู้จบ
ชุมชนบ้านดอนหน่อง เป็นอีกหนึ่งชุมชนที่กลายเป็นฐานการเรียนรู้เนื่องในโครงการ “หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน
โดยปีงบประมาณ 2556 มีหลักสูตรจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ฯ จำนวน 2 หลักสูตรลงปฏิบัติการ
“เรียนรู้คู่บริการ” ในพื้นที่ดังกล่าว นั่นคือ หลักสูตรการจัดการการก่อสร้าง
วท.บ. 4 ปี (โครงการจัดทำแผนที่วัฒนธรรมเพื่อการประกอบอาชีพ) และหลักสูตร
สถาปัตยกรรม (โครงการศูนย์แสดงผลิตภัณฑ์พื้นบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่น) โดยอาจารย์รัชนูพรรณ
คำสิงห์ศรี และอาจารย์นิลปัทม์ ศรีโสภาพ
เป็นผู้รับผิดชอบหลักของแต่ละโครงการตามลำดับ
ทั้งสองหลักสูตรมีการออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้ร่วมกันอย่างน่าสนใจ กล่าวคือนำนิสิตลงชุมชนแบบเป็น “ทีม” เน้นศึกษาสภาพทั่วไปของชุมชน (Context) หรือการสำรวจข้อมูลอันเป็นทรัพยากรโดยรอบชุมชน (Natural Resources) ร่วมกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างเก็บข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกในประเด็นเดียวกัน เพราะทั้งสองโครงการนั้น
จะเห็นได้ชัดว่าใช้ข้อมูลอันเป็น “ทุนทางสังคม” เดียวกันล้วนๆ เลยก็ว่าได้ ซึ่งวิธีการเช่นนี้ จะช่วยให้ชาวบ้านไม่รู้สึกเหนื่อยและระอากับกระบวนการเรียนรู้ที่ดูเหมือนจะ
“ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำอีก” อย่างไม่รู้จบในเรื่องเดิมๆ
ประเด็นดังกล่าวนี้ ผมถือว่าสำคัญมาก เพราะหากแยกกันเก็บข้อมูล โดยไม่มีการแบ่งหมวดหมู่ประเด็นคำถาม หรือข้อมูลที่ต้องการอย่างชัดเจน ย่อมสุ่มเสี่ยงต่อการเก็บข้อมูลซ้ำซ้อน ชะตากรรมย่อมตกอยู่กับชุมชน เพราะชุมชนเสี่ยงไม่ได้ต่อการให้ข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งความเป็นจริงที่ผ่านมา ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีหลายโครงการลงปฏิบัติการที่บ้านดอนหน่อง แต่กลับไม่สามารถคืนข้อมูลให้กับชุมชน หรือไม่สามารถนำข้อมูลดังกล่าวใช้ประโยชน์ในระดับมหาวิทยาลัยร่วมกันได้ พอลงพื้นที่แต่ละครั้ง จึงยังต้องมาเก็บข้อมูลในเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก
นิสิต : เป็นสะพานใจ และกระบอกเสียงประชาสัมพันธ์กิจกรรม
การดำเนินงานโครงการจัดทำแผนที่วัฒนธรรมเพื่อการประกอบอาชีพและโครงการศูนย์แสดงผลิตภัณฑ์พื้นบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้วิชาเรียนเข้ามาขับเคลื่อนหลายวิชา แต่หลักๆ แล้วคือ 2 รายวิชาที่ว่าด้วย “การออกแบบสถาปัตยกรรม 4” และรายวิชา “คอมพิวเตอร์เพื่อการออกแบบและเขียนแบบเบื้องต้น” ด้วยเหตุนี้ในระยะแรกของการเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาชุมชน ทั้งสองโครงการจึงมุ่งใช้เครื่องมือการสัมภาษณ์ (Interview) เป็นหัวใจหลัก โดยเริ่มจากการชี้แจงภาพรวมโครงการต่อกลุ่มผู้นำ ซึ่งหมายถึงผู้ใหญ่บ้านและผู้อำนวยการโรงเรียน ถัดจากนั้นจึงแบ่งนิสิตออกเป็น 7 กลุ่มๆ ละ 10 คนเพื่อ “เดินเท้าเข้าหมู่บ้าน” ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและประชาสัมพันธ์กิจกรรมไปในตัว
วิธีการดังกล่าว ถึงแม้จะไม่ได้ใช้ “เวทีร่วม” ในระดับชุมชนที่ประกอบด้วย “ผู้นำ” และ ”ชาวบ้าน” อย่างหลากหลาย เนื่องเพราะเป็นการมุ่งสื่อสารโดยตรงกับกลุ่ม “ผู้นำ” เพื่อให้ผู้นำได้ทำหน้าที่ “แจ้งข่าว” ตามครรลองของชุมชน ซึ่งมองดูก็มีจุดเปราะบางเรื่องการสื่อสารสร้างความเข้าใจและสร้างการมีส่วนร่วมต่อคนส่วนใหญ่อยู่มากไม่ใช่ย่อย แต่การไม่รีรอให้ “นิสิต” เป็นเสมือน “กระบอกเสียง” หรือ “สะพานใจ” ลงชุมชนโดยทันทีนั้น ย่อมถือเป็นกลยุทธหนึ่งที่ช่วยคลี่คลายประเด็นข้างต้นได้เหมือนกัน
กลับสู่ชุมชน (อีกครั้ง) : ผนึกภาคีชาวบ้าน สื่อสารโครงการและสะท้อนข้อมูล
อย่างไรก็ดี การลงชุมชนในวันที่ 11 กรกฎาคม 2556 ถือเป็นกระบวนการอันสำคัญของทั้งสองหลักสูตรอย่างมาก เนื่องจากเป็นการหวนกลับสู่ชุมชนในสองสถานะหลัก (1) ประชาสัมพันธ์โครงการให้ชาวบ้านหมู่มากได้ร่วมรับรู้อย่างเป็นทางการ (2) สะท้อนข้อมูลเบื้องต้นหลังจากเก็บข้อมูลมาระยะหนึ่ง
กระบวนการดังกล่าวเริ่มต้นจากทั้งสองหลักสูตรประสานภาคีนักวิจัยชาวบ้าน (Community Researcher) หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า “กลุ่มฮักแพง เบิ่งแญงขามเรียง” ให้เป็นสื่อกลางของการประสานชุมชนเข้ามาจัด “เวทีร่วม” อย่างเป็นทางการร่วมกัน โดยใช้ “ศาลาวัดบ้านดอนหน่อง” เป็นพื้นที่การพบปะ โสเหล่
การประสานตรงต่อกลุ่ม “ฮักแพง เบิ่งแญงขามเรียง” ถือเป็นกลไกสำคัญในการนำพาลงสู่ชุมชน เพราะกลุ่มนักวิจัยดังกล่าว เป็น “นักวิจัยไทบ้าน” ที่รวมกลุ่มกันขึ้นมาเพื่อเชื่อมประสานการทำงานระหว่างชุมชนขามเรียงกับภาคส่วนต่างๆ ให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น ซึ่งกลุ่มฮักแพงฯ เป็นกลุ่มคนในพื้นที่ จึงย่อมเข้าใจ “หัวอก” คนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดีว่าควรได้รับการปฏิบัติเช่นใดจากบุคคลภายนอกที่ตบเท้าเข้ามาเรียนรู้อย่างไม่รู้จบ –ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ในเวทีของค่ำคืนนั้น ประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญๆ เช่น การชี้แจงวัตถุประสงค์และแนวทางการดำเนินงานโครงการทั้งสองโครงการให้กับชาวบ้านได้ร่วมรับรู้และทำความเข้าใจ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนร่วมกับมหาวิทยาลัย โดยสะท้อนถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นต่อชุมชน ท้องถิ่นและมหาวิทยาลัย เช่น
· มีระบบข้อมูลสารสนเทศของชุมชนที่เป็นปัจจุบันสามารถสืบค้นและเผยแพร่ได้หลากหลายรูปแบบ
· มีแผนที่วัฒนธรรมของหมู่บ้านที่แสดงตำแหน่งอาชีพ/ภูมิปัญญา/สถานที่สำคัญๆ
ของหมู่บ้าน ซึ่งสามารถใช้เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ชุมชน หรือใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ชุมชนทั้งระดับหมู่บ้าน
และโรงเรียน
· มีต้นแบบของศูนย์แสดงผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นในชุมชน
ที่สามารถใช้เป็นข้อมูลในการเสนอเป็นแผนพัฒนาให้กับเทศบาลตำบลขามเรียง
เพื่อจัดทำเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนในอนาคน
· เกิดกระบวนการเรียนรู้เรื่องสำนึกรักษ์บ้านเกิดร่วมกันระหว่างนิสิตกับชุมชน
นอกจากนั้นผู้แทนจากกลุ่มฮักแพงเบิ่งแญงขามเรียง รวมถึงผู้แทนผู้ชุมชนบ้านดอนหน่อง ยังได้สะท้อนข้อมูลอันเป็นสภาพทั่วไป หรือบริบทของชุมชนให้ร่วมรับรู้เบื้องต้น เช่น ประวัติความเป็นมาของชุมชน ประเพณีวัฒนธรรมสำคัญๆ ในชุมชน การรวมกลุ่มในด้านอาชีพของชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม “ทอเสื่อกก” ซึ่งถือเป็นการรวมกลุ่มที่มีความโดดเด่นและเข้มแข็งที่สุดของหมู่บ้าน ตลอดจนการแนะนำให้รู้จักกับปราชญ์ชาวบ้านในด้านต่างๆ เช่น
· ด้านดนตรี ขับร้อง
· ด้านจักสาน
· ด้านพลุโบราณ
· ด้านศาสนาและพิธีกรรม
· ด้านหมอยาสมุนไพร
· ด้านการทอเสื่อกก
· ด้านเกษตรกรรม
และในช่วงท้ายของการจัดเวที ตัวแทนนิสิตจากทั้งสองหลักสูตร ได้สะท้อนผลการเรียนรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดทำแผนที่วัฒนธรรมเพื่อการประกอบอาชีพ และตัวอย่างของศูนย์แสดงผลิตภัณฑ์พื้นบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่นบ้านดอนหน่อง ซึ่งเป็นการนำเอาข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากการลงพื้นที่มาวิเคราะห์และสังเคราะห์สู่การออกแบบโดยสังเขป ก่อนจะเปิดเวทีให้ชาวบ้านได้มีเสนอแนะและร่วมอภิปราย หรือแม้แต่การออกแบบแผนการดำเนินงานในส่วนที่เหลือร่วมกัน
วางแผนใหม่ : ขับเคลื่อนแบบมีส่วนร่วม
การออกแบบแผนการดำเนินงานในส่วนที่เหลือร่วมกัน เป็นเสมือนการวางแผนใหม่ (spiraling of steps) อีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้เป็นการวางแผนแบบมีส่วนร่วมในมิติของ “มหาวิทยาลัยกับชุมชน” ที่ประกอบด้วยอาจารย์ นิสิต ชาวบ้าน และกลุ่มฮักแพง เบิ่งแญงขามเรียง นั่นเอง
การวางแผนใหม่ ถูกขับเคลื่อนไปสู่การกำหนดประเด็นศึกษา (issue Scoping)
เชิงลึก โดยเฉพาะการมุ่งศึกษาทุนทางสังคมผ่านบุคคลสำคัญๆ ของชุมชน
เสมือนการศึกษาจาก “ปากคำชาวบ้าน” เป็นที่ตั้ง
ซึ่งในเวทีร่วมของค่ำคืนนั้น ได้กลายเป็นเวทีแรกที่ทำให้อาจารย์และนิสิตได้พบหน้ากับเหล่าบรรดาแกนนำ
หรือปราชญ์ชาวบ้านอย่างเสร็จสรรพ หลังจากลงชุมชนแบบลองผิดถูกมาแล้วระยะหนึ่ง
ผมถือว่านี่คือกระบวนการอันสำคัญในการขับเคลื่อนในเชิงบูรณาการ และที่สำคัญคือมีการประเมินสถานการณ์การดำเนินงานเป็นห้วงๆ โดยถัดจากนี้ระบบข้อมูลจะถูกเก็บรวบรวม สังเคราะห์ใหม่ร่วมกันอีกรอบ เพื่อนำมาออกแบบเป็น “แผนที่วัฒนธรรม” และ “ศูนย์แสดงผลิตภัณฑ์” ภายใต้กระบวนการที่ชาวบ้าน หรือชุมชน มีส่วนร่วมคิด ร่วมตัดสินใจอย่างแท้จริง
และผลผลิตดังกล่าว จะถูกนำเสนอต่อมหาวิทยาลัยและองค์กรท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ หรือหนึ่งในฐานข้อมูลในการพัฒนาท้องถิ่นและชุมชนต่อไป
11 กรกฎาคม 2556
บ้านดอนหน่อง
ชื่นชมครับ
ชื่นชมอีกคนนะครับ
....ชื่นชมวิธีการทำงาน นะคะ .... ขอบคุณเรื่องราวดีดีนี้ค่ะ ....
ชอบมากค่ะ แถวบ้านป่าของพี่หากมีมหาวิทยาลัยนำทางเช่นนี้ก็ดี
ขอบคุณค่ะ
มาชื่นชมการทำงานบูณาการได้เยอะมากๆๆ
"อ่านแล้ว..เหนื่อย..อ้ะ..เหมือน..พายเรือ..ไม่เห็น..ฝั่ง..อิอิ"...ชาวบ้านคงเหนื่อย..เพิ่มขึ้น..เหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม..อิอิ..ยายธี
ชอบหลักการบูรณาการแบบนี้จังเลยจ้ะ ทำอย่างไรจึงจะได้แนวทางแบบนี้
บ้างจ๊ะ คุณมะเดื่ออยากลองนำไปประยุกต์ใช้กับงานสอนประถมดูบ้าง
(แบบง่าย ๆ แต่...ใช่เลยจ้ะ)
ชื่นชมแนวทางการเรียนรู้ค่ะ