Megatrends Asia อภิมหาแนวโน้มของเอเชีย


เมื่อ ปี พ.ศ. 2538 ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า Megatrens Asia ความจริง มีเล่มหนึ่งที่ออกมาก่อนชื่อว่า Megatrends 2020 เขียนโดยนาย John Naisbitt ที่น่าสนใจและน่าศึกษาก็คืองานชิ้นนี้มาจากการศึกษาแบบ Future Studies ที่คาดการณ์อนาคตว่าจะเกิดอะไรบ้างในภายภาคหน้า หาที่สอนวิชานี้ยากเต็มทีในประเทศไทย เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวเพราะหากเรารู้อนาคตจะเกิดอะไรเราก็สามารถวางแผนยุทธศาสตร์ได้อย่างแม่นตรงถูกต้องมิใช่แบบคาดเดาเอาตามความรู้สึก เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลกล้วนแล้วแต่ถูกคาดการณ์อนาคตมาก่อนในหลายๆ เรื่อง

เราเริ่มเห็นภาพที่ชัดปรากฏขึ้นเรื่อยๆตามที่คาดการณ์ไว้ ว่าความเจริญของโลกจะไหลกลับมาอยู่ที่ญี่ปุ่น จีน เกาหลี และอาเซียน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นก้าวหน้าล้ำสุดกว่าทุกประเทศ เกาหลีแม้จะมาที่หลังก็มาแรงแซงโค้งญี่ปุ่นไปแล้วโดยเฉพาะในเรื่องไอที คอมพิวเตอร์ มือถือและรถยนต์
ในอาเซี่ยนเองก็มีหลายประเทศที่ก้าวหน้าและเริ่มไปไกลกว่าไทยอาทิ สิงคโปร์ และมาเลเซีย แม้แต่เวียตนามก็มาแรง
นาย เจมส์ วูลเฟนซอห์น อดีตประธานธนาคารโลกพูดที่มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ นครซิดนีย์ ในปี ค.ศ. 2006 คาดการณ์ว่าปี พ.ศ. 2030-2040 จีนจะก้าวข้ามสหรัฐฯ ขึ้นมาเป็นชาติอันดับ 1 ของโลกในทางเศรษฐกิจ  แต่ในหนังสือเล่มนี้คาดว่าจะเกิดในปี ค.ศ. 2025 คืออีก 12 ปีข้างหน้า และมีผลกระทบต่อประเทศต่างๆจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของยักษ์ ใหญ่เอเชีย ดังที่สหรัฐฯและยุโรปเป็นอยู่ขณะนี้ โลกกำลังจะอยู่ในมือของจีนและอินเดีย เขาจึงเตือนให้ชาติตะวันตกเร่งเตรียมการรับมือกับอิทธิพลทาง เศรษฐกิจ ในการแผ่ขยายอำนาจอย่างรวดเร็วจนถึงขั้นเปลี่ยนดุลอำนาจ ชาติที่ร่ำรวยจะต้องปรับตัวให้เข้ากับจีนและอินเดีย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป แม้แต่โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจชื่อดังก็คาดการณ์ว่า ในปี ค.ศ. 2050 GDP ของจีนจะขยายตัวจากมูลค่ารวม 2 ล้านๆดอลล่าร์เป็น 48.6 ล้านล้านดอลลาร์ GDP ของอินเดียเองในปี พ.ศ. 2550 มีไม่ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่จะขยายสูงขึ้นถึง 27 ล้านล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ GDP จะเพิ่มจาก 13 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 37 ล้านล้านดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าจีนถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์ ปี 2050 เศรษฐกิจของจีนและอินเดียมีแนวโน้มจะขยายตัวถึง 22 เท่า ขณะที่ชาติ G7 มีแนวโน้มขยายตัวเพียง 2.5 เท่าเท่านั้น และปัจจุบันจีนและอินเดีย เข้าไปลงทุนในแอฟริกาอย่างมาก

หากดู สิ่งที่คาดการณ์นี้เริ่มเป็นจริงเพราะเศรษฐกิจจีนนับวันแต่เข้มแข็งมั่นคง จนสหรัฐอเมริกากังวลต่อเรื่องนี้มากร่วมมือกับสหภาพยุโรปพยายามจะสกัดกั้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ทุกวิถีทางแต่ก็ไร้ผล มีการใช้มาตรการระเบียบโลกใหม่(New World Order)เข้ามากดดันคือ สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย สิ่งแวดล้อม และ การค้าเสรี  จีนนั้นต่อสู้ไม่ยอมอ่อนข้อ  ทั้งเงินสกุลหยวนของจีนยังไม่อยู่ในระบบการเงินสากล  สหรัฐฯ จึงโจมตีเครือข่ายจีนรวมทั้งประเทศที่มีเวลาตรงกับจีน เช่น ไต้หวัน เกาหลี มาเลเซีย ไทย
สิงคโปร์และ อินโดนีเซีย

 

มาถึงวันนี้เศรษฐกิจของประเทศอินเดียที่ถูพูดถึงด้วยก็ดีวันดีคืน โดยเฉพาะด้าน Software มีฐานผลิตอยู่ที่เมืองบังกาลอ ที่เป็น Call center ของโลก ที่น่าแปลกใจเมื่อสามปีได้มีโอกาสฟังการบรรยายของสถานทูตไทยในกรุงเดลลี มีข้อมูลว่าตลาดอินเดียส่วนใหญ่เป็นตลาดภายในประเทศ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่งออกแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ และจีนกับอินเดียเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นมาจาก Network นั่นก็คือประเทศเครือข่ายความร่วมมือ ส่วนในประเทศคือหัวเฉียว(คนจีนโพ้นทะเล) กลับประเทศมาช่วยกันพัฒนาประเทศ แม้แต่อินเดียก็ได้รับทราบจากสถานทูตว่าจะมีคนอินเดียโพ้นทะเลจะกลับมาช่วยพัฒนาประเทศ 29 ล้านคน จึงทำให้แนวโน้มมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกในปี ค.ศ. 2025 หรืออีก 12 ข้างหน้านี้ แต่สิ่งสำคัญการที่เศรษฐกิจในประเทศต่างๆนี้ก้าวหน้าได้มาจากการขายวัฒนธรรม


หมายเลขบันทึก: 540350เขียนเมื่อ 24 มิถุนายน 2013 08:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2013 08:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ทำอย่างไรประเทศไทย (ประชาชนส่วนใหญ่) จึงจะได้รับผลทางบวก..อยู่ดีกินดี..มีความสุข...ครับ

น่าสนใจมาก ถ้ามีการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับความก้าวหน้าในอนาคต

ขอพรให้ลุงเอก นำสันติวิธี ไปใช้กับทุกๆเรื่อง จนลมหายใจสุดท้ายของท่านครับ. เพราะเราศรัทธาในบัญญัติแห่ง สันติธรรม.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท