จิตใจแบบระยำหมา


     ย้อนไปสักประมาณหนึ่งเดือนกว่าๆมีเหตุการไม่ค่อยปกดีและสู้ดีบางประการที่อาจนำความไม่ดีมาสู่สถานที่วัดที่ได้พักพิงอาศัยอยู่ ซึ่งโดยปกติแล้วอุปนิสัยชอบอยู่แบบรับผิดชอบในภารกิจของตนให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยแบ่งเวลาไปช่วยคนอื่นๆหากเหตุนั้นๆไม่ส่งผลกระทบภารกิจและบุคคลรอบข้างเราแล้วก็ไม่ค่อยไปวุ่นว่ายสักเท่าไร ซึ่งอยู่มาวันหนึ่งหลวงปู่เจ้าอาวาสท่านก็ได้นั่งรถกอล์ฟมาหาในตอนเช้าซึ่งผิดปกติวิสัยอยู่เมื่อเดินไปหาท่านนั่งข้างท่านก็จับมือซึ่งลักษณะอย่างนี้แน่นอนต้องมีภาระกิจการงานที่สำคัญมามอบหมายให้ ในทีแรกก็คิดว่าเป็นภาระกิจการก่อสร้างต่างๆ แต่สิ่งที่ท่านบอกกลับเป็นว่าเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมาพึ่งใบบุญของวัดมันผิดปกติอยู่นะ เมื่อคืนก็เห็นไปคุยโทรศัพท์ในสถานที่ผู้หญิงไม่ควรไปอยู่ในเวลาวิกาลท่านก็ยังบอกต่อว่ามันกำลังโตเป็นสาวอาจมีความกำหนัด สังเกตุดูๆบอกสอนหน่อยเดี๋ยวมันเป็นอย่างอื่น เพราะเด็กคนนี้เข้ามาก็ทางญาติโยมเราก็ให้ความดูแลตามสมควร เราเองก็ได้แต่ครับผม

     แต่มันจะทำอย่างไรละ ก็คงต้องเก็บข้อมูลก่อนละหากเป็นงานศูนย์เด็กคุมประพฤติเราคงตัดสินใจลงมือได้ง่ายเพราะมีข้อมูลก็เลยสอบถามสังเกตุในหลายๆบุคคลหลายกลุ่มหลายสถาน แต่แน่นอนก็ต้องบอกเตือนกันในเบื้องต้นบอกเองก็คงไม่ตรงประเด็นบุคคลที่น่าจะบอกได้คนแรกก็แม่ครู(ณ เวลานั้น) คนที่สองก็แม่ยกยอกำมะลอ เมื่อบอกแม่คนแรกเธอก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีว่าจะเป็นธุระให้ในสอบถามให้ แต่แม่คนที่สองเพียงแค่สอบถามข้อมูลยังมิได้ไว้วานอะไรเลย ก็ได้คำตอบมาว่า "ความสำพันธ์ระหว่างดิฉันกับเด็กหญิงกะโปโลคนนี้มิได้มีความสำคัญอะไรเรียกแม่ก็เรียกกันตามอายุเหมือนดิฉันเรียกแม่ออกมาจังหันเช้า" นึกในใจอ้าวฉิบหายละกูเสียแมวเลยเรา ก็ด้วยภาระที่ท่านหลวงปู่มอบให้ก็เลยสนทนาต่อพยายาม หาปมเพื่อแก้ไขปัญหาแต่กับได้คำตอบจากแม่ยกยอกำมะลออีกว่า "เรื่องของคนในวันเป็นอย่างไรไม่รู้ดิฉันเป็นคนนอกวัดไม่รู้เรื่องด้วยหรอกไม่อยากไปเสียด้วย" อ้าวตายอีกละกูบทบาทที่แสดงของเราให้เธอรู้หรือบทบาทที่เคยหนุนให้เธอได้โอกาสต่อที่นี้มันไม่สร้างความคิดอะไรเลยเหรอวะ

       เมื่อเหตุการผ่านไปอีกระยะความเลวร้ายมันเริ่มมากขึ้นของเด็กสาวคนนี้ คิดละว่ากูจะทำไวดีวะหลวงปู่ก็ถามอีกจะทำอย่างไรก็ยังไม่กล้าให้คำตอบ การแสดงวาทะ กริยาอาการของเด็กสาวก็เริ่มเกินเลยคิดว่าตนเป็นผู้ฝึกหัดได้แล้วฉันรู้แล้ว กล่าวอะไรก็ได้ ทั้งๆที่เป็นแค่คนเริ่มต้นการฝึกหัดทางด้านจิตใจ เรียนหนังสือในโรงเรียนก็ขี้เกียจไม่ไปเรียนอ้างนู้นอ้างนี้ดูจากอะไรละเวลาที่เธอเข้าเรียน และผลการเรียนแค่ 1.6 พอสอบถามไปทางโรงเรียนบางคราวเธอก็จะบอกว่ามาช่วยงานวัด งานอะไรวะ สอบถามน้าที่เป็นภารโรงก็ได้คำตอบว่าไม่มีใครเขาสนใจเชื่อมันแล้วมันโกหกเขาไปเรื่อย สอบถามแม่ครัวก็บอกว่ามันมาสั่งพวกแม่ให้ดูแลทำความสะอาดเดี๋ยวมันจะมาตรวจ ถามป้าเขาเองก็บอกว่าก็ไม่เห็นทำอะไรกวาดก็เป็นป้ากวาดเห็นแต่เดินไปคุยโทรศัพท์กลับมาก็เข้าห้องปิดประตู( แล้วไหนมันบอกว่ามันช่วยทำไปซะทุกอย่าง)

     เหตุการณ์มันยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยหาปมไม่เจอเลยใครให้ท้ายเด็กคนนี้แล้วความคิดนิสัยโกหกไปได้มาจากไหนคุยโทรศัพท์เพ้อเจ้อคุยกับใครหาไม่เจอเลยแบบงงแล้วเราจะทำอย่าง สุดท้ายเมื่ออาตมานั่งคุยกับแม่ครูอยู่เด็กคนนี้เดินผ่านแม่ครูเรียกหากจิตใจเธอยังสำนึกสักนิดก็จะมาหาแล้วนั่งลงถามว่ามีอะไรให้หนูทำแต่กลับ ตวาดกลับมาว่าหนูไม่ว่าง เราเองก็ยิ่งแน่ชัดความผิดปกติในนิสัยเด็กคนนี้เพราะแม่ครูเป็นคนให้โอกาสช่วยเหลือสั่งสอนมาอย่างหลายประการโดยไม่ตามกิเลสของเด็กคนนี้ เราเองก็คิดในใจสงสัยจะหนักเลยตัดสินใจเรียกสังกะลีให้เดินตามไปเพื่ออบรมเด็กคนนี้ แต่เมื่อไปถึงใครเรียกอย่างไรก็ไม่ลงมาทั้งๆที่เดินมากันไปแต่ต้องจัดการกันในตอนนี้แหละค้างคาไม่ได้แล้ว สุดท้ายก็เลยบอกสังกะลีพังประตู เรียกเธอลงมา เมื่อเธอลงมาอาตมาก็พยายามพูดให้รู้ในการควรไม่ควรเด็กคนนี้ก็เคยโกหกเรามาหลายครา แต่เราก็อดทนเพื่อมันจะดีขึ้น แต่อาการที่เธอแสดงออกทำเหมือนหูทวนลมลอยหน้าลอยตาเขี่ยดินทำเป็นฟังไม่ได้ยิน(ตอนเสร็จเรื่องสังกะลีบอกว่าถ้าเป็นพวกผมทำแบบนั้นละก็และแน่ตายคาตีน)

    ซึ่งสุดท้ายเมื่อบอกสอนกันไม่ฟังก็ต้องไปกราบเรียนหลวงปู่และหาทองออกกันซึ่งสิ่งหนึ่งคิดได้ในขณะนั้นว่าเด็กคนนี้ต้องคิดว่าตนเองสำคัญจนไม่ต้องฟังใครและหน้าจะมีคนให้ท้ายเมื่อพูดคุยกันแล้วว่าบอกสอนไม่ฟังปรามก็ไม่ฟังจะเอาอย่างไรเด็กคนนี้ก็มีท่าทางจะอยู่วัดเพราะขี้เกียจไปเรียน แต่ยังงัยก็ต้องเอาปัญหาออกไปก่อน แม่ครูเองก็พูดว่า"จะอย่างไรหนูก็ทุ่มเทให้ที่สุดแล้วได้แค่นี้ถ้าจะเป็นอย่างไรก็สุดแท้แต่หลวงปู่แต่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบของหนู"ใครจะรับผิดชอบดูแลก็แล้วแต่" หลวงปู่ก็หันหน้ามาหา เราเองก็ตอบว่าผมไม่เอาแน่นอนละครับเมื่อกี้ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงละหน้าดู(ยังมีอารมณ์อยู่นะเป็นพระแค่สมมุติสงฆ์ก็พยายามเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรอกแต่ยังงัยมันก็ต้องสมมุติก่อนละ) สุดท้ายก็เลยเสนอว่าสอนกันอย่างไรก็ไม่ฟังและก็จะไปมาก็ไม่ระวังก็คงต้องให้ออกไปจากวัดซะก่อนรับผิดชอบตัวเองไห้ได้ดังที่โอ้อวด คือกลับไปเรียนแก้ศูนย์แก้รอทั้งหลายและเรียนให้จบ ม.6 ซะก่อน หลวงปู่ก็เห็นตามนั้น แต่เด็กคนนี้ก็ยังดึงจะอยู่ต่ออีกอาทิตย์ค่อยออกจากวัด กับยายอ้วนตัวจุ้น เมื่อเธอจะขออีกหลวงปู่ลุกเข้าห้อง(เข้าทางพอดีเลยประคองเข้าห้อง ) เมื่อจะกลับก็ยังจะให้ยายอ้วนตัวจุ้นไปส่งให้ได้ ด้วยความไม่อยากให้ปัญหามันคาราคาซังก็เลยโทรบอกยายอ้วนตัวจุ้นว่าไม่ต้องไปส่งหรอกเดี๋ยวรถวัดไปส่ง ยิ่งคนขับรถให้เธอป่วยด้วยงั้นก็กลับเลยจะได้ไม่ลำบาก แต่ก็ยังดึงดันกับเราอีกว่าจะไปส่งเราก็เลยบอกว่าแล้วแต่จะทำเอาแล้วกันถ้าพูดกันไม่ฟัง( แม่งความเป็นพระไม่ช่วยอะไรเลยวะ) แต่ก็แก้ปัญหาว่ายังงัยก็ไห้รถวัดรีบไปส่งถึงบ้านแล้วจะทำอะไรต่อก็เรื่องของเขา ก็คิดได้ว่ายายอ้วนตัวจุ้นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอนแต่จะแง่ไหน ด้วยความคิดดีของเราอีกก็เลยจะโทรไปแจ้งให้ยายแม่ยกยอกำมะลอ(สอนคนไม่เป็นแต่อยากมีคนให้สอนฉิบหายพอดีถึงว่าไม่มีคนมาเกิดด้วย) รู้ว่าแก้ปัญหาเด็กคนนี้อย่างไรแล้วจะได้ทราบจะได้ไม่เกิดปัญหา ไม่รับแล้วก็ไม่โทรกลับด้วย ก็แล้วกันไป

   แต่ไอ้ที่มันเป็นความระยำก็คือว่า หลังจากนั้น เคยบอกว่าความสำคัญแค่เฉย คนในก็คนในคนนอกไม่เกี่ยว เวลายายแม่ยกยอกำมะลอจะมาก็เป็นเห็นอีนังเด็กเนรคุณนี้เสมอ ขนาดวันศุกร์รู้ทั้งรู้ว่ามันต้องขาดเรียนแทนที่จะให้กันไปโรงเรียนแต่ก็ส่งเสริมให้ขาดเรียนตามกิเลสความขี้เกียจ แถมมาแล้วยายแม่ยกยอกำมะลอก็มิได้เคารพเราอย่างที่ควรทั้งๆที่การที่เธอเป็นคุณนายแต่ก็มิอาจมีบทบาทในสถานที่นี้ได้แต่เราคอยประคองจนมีบทบาทได้ เห็นหน้ามันควรจะบอกกล่าวกันบ้างในมารยาทแต่ไม่ทำกลับไปเห็นแก่เด็กชอบโกหกคนหนึ่งซึ่ง และเมื่อยายแม่ยกยอกำมะลอจะทำสิ่งใดก็สั่งนังเด็กเนรคุณเตรียมการให้แบบโง่ๆ เช่นให้คนขนของมา เขาก็ต้องกินข้าวก็ต้องเตรียมให้เขาถ้าเป็นเมื่อก่อนเราก็จะประคองให้ละอาจบอกแม่บ้านแม่ครัวทำให้ละหรือไม่ต้องละเอาคนงานเราลงก็ได้ แต่งานนี้ทำเองก็ไม่ว่ากัน สั่งเด็กคนนี้ไปซื้อข้าวกล่องมารอไว้ ถามนังเด็กนี้ว่ามีเงินไหมจ่ายก่อนเดี๋ยวมาให้ เด็กนี้ก็โกหกว่ามีแล้วไปเซ็นมาก่อนไอ้ร้านไปเซ็นก็ร้านญาติเรานี้ละ เด็กนี้ยังมีหน้าว่าหาร้านเกือบไม่เจอหมู่บ้านนี้ บ้านเพื่อนมันก็หลังข้างๆไปอยู่บ้านเขาไม่ช่วยอะไรจนเขาไม่อยากให้อยู่( รู้ทีหลังหรอก) แถมไปซื้อข้าวยังบอกว่าลืมกระเป๋าตังส์ติดไว้ก่อนของแม่ยกยอกำมะลอ อ้าวมาเตรียมงานจะลืมได้ไงวะ และสุดท้ายการมาครั้งล่าสุดยายอ้วนตัวจุ้นมาก็เป็นยายแม่ยกยอกำมะลอก็เป็นคนไปรับมาพร้อมนังเด็กเนรคุณอ้าวมัน เฉยๆแบบไหนวะ แล้วยายอ้วนมาเกี่ยวไรวะ แม่งไม่คิดเลย

    สุดท้ายตอนนี้ในขณะที่พิมพ์ก็เป็นคำถามขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจว่าเรื่องต่างเราเองฝึกหัดควบคุมจิตใจข่มใจไว้ให้ดีขึ้นตามลำดับ แต่อารมณ์ของใจกับเหตุการณ์นี้โทสะมันเกิดกลับมาอีกแบบไม่เป็นนานแล้ว เลยเป็นคำถามกับตัวเองว่าจิตใจของเรา ยังระยำหมาอยู่ไม่ประเสริฐเหมือนพวกคนดีๆเหล่านี้ ที่คอยประคับประคองเด็กที่อาจดีคนหนึ่งหรือเป็นไปอย่างไร

                                                                              หรือใครกันแน่ที่ระยำหมา

                                                                                                                                      พ.ทินนาโภ

                                                                                                                                ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖

คำสำคัญ (Tags): #พ.ทินนาโภ#thinnabho
หมายเลขบันทึก: 539955เขียนเมื่อ 20 มิถุนายน 2013 12:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2013 13:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท