ลำไย : ชุมชนคนสนใจเรื่องลำไย ถามตอบ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
https://www.facebook.com/groups/www.longankipqew/
หรือ
http://www.gotoknow.org/dashboard/home/#/posts/545415/edit
สาวน้อยใจดี นู๋ยุ้ยแก้มตุ่ย
https://www.facebook.com/profile.php?id=100000397078840
.
วันนี้ว่างๆ เลยอ่านเข้าไปในเว็ป
http://www.gotoknow.org/posts/362284
ของคุณ ฤทธิ์ ตาลี ใช้ชื่อว่า "หนุ่มดอยเต่า"
และมีโอกาส ได้อ่านคำสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสมาชิกที่ถามตอบกันอยู่ ในเว็ปดังกล่าวระหว่าง คุณโก้ กับ คุณหนุ่มสอยดาว
เห็นอึมๆ ครึมๆ กันอยู่ในเรื่องดังกล่าว
จึงได้ขออนุญาตเสนอแนะความคิดเห็นลงไป
เลยคิดว่าน่าจะนำคำตอบนั้นมาลงในบันทึกของตนเอง
เพื่อว่าเกษตรกรท่านอื่นๆ จะได้ทำความเข้าใจ
ในเรื่องดังกล่าวได้เพิ่มขึ้น...ค่ะ
ตอบคุณโก้
ขออนุญาต ให้ข้อคิดเห็นเรื่องปุ๋ยทางใบ กับปุ๋็ยทางดินค่ะ
ปุ๋ยทางใบใช้ได้ทั้งทางใบ และดิน (แต่ถ้านำมาใช้ทางดินจะถือว่าสิ้นเปลือง..ค่ะ)
ปุ๋ยทางดินใช้ได้เฉพาะทางดิน...ค่ะ
่
ขอขยายความ
เนื่องจากในกระบวนการผลิตธาตุอาหารสำหรับให้ต้นพืชนั้น มีการผลิตออกมาในสองลักษณะคือ ให้ทางราก กับให้ทางใบ ดังนั้นคุณสมบัติการจับของโมเลกุลของธาตุอาหาร ่จะมีความแตกต่างกัน ธาตุอาหารบางชนิดที่มีประจุบวกได้แก่เหล็ก สังกะสี ทองแดง แมงกานีส ฯลฯ
ธาตุอาหารเหล่านี้เมื่อนำมาใช้ทางดินก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากลักษณะการดูดซึมของต้นไม้นั้น ่จะใช้วิธีดูดธาตุอาหารในรูปของ สารละลายจากน้ำ โดยใช้กระบวนการปรับระดับความดันภายในต้นไม้ เพื่อให้สารอาหารสามารถเคลื่อนที่ไปยังส่วนต่างๆ ของต้นไม้ได้ ด้วยการใช้วิธีัการลดความดันยอดด้วยการคายน้ำออกทางใบทำให้แรงดันส่วนปลายลดลง สารที่ละลายธาตุอาหารในดินจึงสามารถถูกดูดซึมผ่านขึ้นไปทดแทนแรงดันที่ลดลงนั้นตามระบบรากได้
แต่เมื่อนำเรานำธาตุอาหาร (ปุ๋ยทางดิน) เหล่านั้น มาละลายน้ำ และฉีดพ่นทางใบ ปรากฎว่าโมเลกุลของธาตุอาหารบางประเภทมีประจุไฟฟ้าบวกอยู่ เมื่อไปกระทบกับประจุลบบริเวณใบ จึงเกิดการจับตัวกัน แ่ละพืชไม่ปล่อยให้ธาตุอาหารดังกล่าวซึมผ่านเ่ข้าทางปากใบได้ จึงเิกิดการตกตะกอนค้างอยู่บนใบ รอวันฝนชะล้างลงดินละลายไปกับน้ำฝน แล้วซึมผ่านตามระบบรากปกติ ดังนั้นในบางครั้งที่เราไม่รู้ เราก็ยังคงคิดว่ามันสามารถใช้ได้กับทางใบได้ ซึ่งในความเป็นจริงๆ มันใช้ซึมผ่านเข้าต้นไม้ในทางใบ....ไม่ได้
ดังนั้นเราจึงใช้สารคีเลต (Chelate) ซึ่งมีทั้งในธรรมชาติ และการสังเคราะห์ มาเป็นตัวจับธาตุอาหารที่มีประจุบวกเหล่านี้ ทำให้เกิดกระบวนการที่เรียกว่า คึเลตชั่น (chelation) ซึ่งจะเข้าไปล้อมธาตุอาหารเหล่านั้น ไม่ให้ประจุลบภายนอกเ้ข้ามาทำปฏิกริยาได้ (ประจุต่างกันพบกันจะดูดกันไว้ ทำให้เกิดการตกตะกอน) จึงทำให้ธาตุอาหารดังกล่าวกลายเป็นสารประกอบที่ไม่มีประจุไฟฟ้า ทำให้ไม่เกิดการตกตะกอน และพืชสามารถปล่อยให้ผ่านเข้าทางปากใบ และเนื่องจากสารประกอบคีเลต สามารถละลายน้ำได้ดี พืชจึงสามารถดูดซึมผ่านราก หรือปากใบ และสามารถนำสารธาตุอาหารรองเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ได้รวดเร็ว และใช้ได้ในทันที
สารคีเลตที่ใช้ทำปุ๋ยจุลธาตุหรือธาตุอาหารเสริมมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. สารอินทรีย์จากธรรมชาติ เช่น กรดฮิวมิก กรดฟีโนลิก กรดซิตริก และ กรดอะมิโน
2. สารคีเลตสังเคราะห์ เช่น EDTA ย่อมาจากเอทิลีนไดอามีน เตตราอะเซติก แอซิด
สารประกอบเหล่านี้ เรามักจะเรียกว่า "จุลธาตุ" เป็นกลุ่มธาตุอาหารที่เราให้ทางใบ...ค่ะ
ดังนั้น ในผลิตภัณฑ์ธาตุอาหารทางเคมี ที่มีคำเ่ขียนกำกับไว้ว่า "อยู่ในรูปสารประกอบคีเลต" จึงเป็นธาตุอาหารที่พัฒนามาเพื่อใช้เฉพาะทางใบโดยเฉพาะ แต่ถ้าจะเอาไปใช้กับทางดินก็สามารถใช้ได้ แต่มันเปลือง...ค่ะ
ส่วนธาตุอาหารที่สร้างมาสำหรับใช้ทางดิน ไม่ได้ผ่านกระบวนการคีเลตชั่น จึงไม่ได้เป็นสารประกอบในรูปของคีเลต ที่จะสามารถนำมาใช้ทางใบได้ ถ้าเอาไปใช้จะเกิดการตกตะกอน แ่ละตกค้างอยู่ตามใบ รอเวลาฝนมาชะลงดิน...ค่ะ
่ข้อมูล เรื่องอื่นๆ หากสนใจ http://www.gotoknow.org/blog/2012-01
ตามมาอ่าน น่าสนใจมากๆ
ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันค่ะ
ขอบพระคุณ ทุกความคิดเห็น...ค่ะ