มีโรงเรียนไปทำไม : 4. โรงเรียนแบบใหม่


ใน “โรงเรียนแบบใหม่” ผู้เรียนเป็นผู้กำหนดเกือบทุกสิ่ง นี่คือการเรียนรู้ยุคใหม่ ที่อาจเรียกว่า Learners-Directed Education - การศึกษาแบบที่ผู้เรียนเป็นผู้อำนวยการการเรียนรู้ ซึ่งตรงกันข้ามกับการศึกษาแบบเก่า ที่ครูและผู้บริหารระบบการศึกษาเป็นผู้อำนวยการการเรียนรู้ นักเรียนเป็นเพียงผู้รอรับถ่ายทอดความรู้

มีโรงเรียนไปทำไม  : 4. โรงเรียนแบบใหม่

บันทึกชุด มีโรงเรียนไปทำไม รวม ๗ ตอนนี้ ตีความจากหนังสือ Why School? : How Education Must Change When Learning and Information Are Everywhere เขียนโดย Will Richardson  บอกตรงๆ ว่า ระบบการศึกษาจะอยู่ในสภาพปัจจุบันไม่ได้  ต้องเปลี่ยนแปลงในทำนองเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ผู้เขียนเล่าเรื่องลูกชายอายุ ๑๓ ปีของตน ชื่อ ทักเก้อร์  ที่เรียนโดยใช้ ซอฟท์แวร์ Minecraft ในการเรียนรู้แบบ plaern (play and learn)  โดยเรียนที่บ้านในช่วงฝนตกและอากาศหนาว  ออกไปเล่นนอกบ้านไม่ได้  Minecraft เป็นซอฟท์แวร์ ก่อสร้างด้วยชิ้นส่วน คล้าย Lego  เป็นเกมเพื่อการเรียนรู้แบบ constructivist, social และได้รับการรับรองจากเว็บไซต์ด้านการศึกษาหลายแห่งว่ามีประโยชน์มากกว่าโทษ

ทักเก้อร์วางเป้าหมายว่าจะสร้างบ้านของตนที่ไหน บ้านมีลักษณะอย่างไร  ในท่ามกลางภูมิประเทศแบบไหน  อยู่ใกล้บ้านเพื่อนคนไหน  แต่เมื่อสร้างบ้านแล้วตกกลางคืน (ของโปรแกรม)  ก็จะมีตัวประหลาดออกมากินบ้านและสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย  ผู้เขียนเล่าว่าในวันนั้นเอง ทักเก้อร์บ่นว่า “กลางคืนแล้ว ตัวประหลาดออกมาแล้ว  ผมยังไม่รู้วิธีจัดการมัน และยังไม่มีถ่านหินมาจุดไฟให้แสงสว่าง  พรุ่งนี้ผมต้องเริ่มสร้างบ้านใหม่”  แล้วผู้เขียนก็เห็นทักเก้อร์นั่งดูวิดีทัศน์วิธีเล่นเกมนี้  และในที่สุดก็ไปพบวิดีทัศน์ที่แนะนำวิธีเล่นเป็นขั้นตอน  ผู้เขียนเห็นทักเก้อร์เอากระดาษมาจดขั้นตอนต่างๆ  แล้วต่อมาก็เห็นทักเก้อร์ใช้คอมพิวเตอร์ของพ่อทำ วิดีโอคอนเฟอเร้นศ์ กับเพื่อนผู้ชาย ๒ คนที่เคยเล่นเกมนี้มาก่อนแล้ว และเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง  ผู้เขียนเห็นทักเก้อร์ทำงานนี้อย่างมุ่งมั่น ใจจดใจจ่อ

ภายในวันนั้นเอง ทักเก้อร์ ก็มาชวนพ่อแม่ไปเยี่ยมบ้านของเขา  พาไปชมห้องต่างๆ ในบ้าน  ซึ่งมีห้องนอน เครื่องเรือน เตาผิง และสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ  บ้านของเขาอยู่บนเนิน  นั่นบ้านของเพื่อนชื่อ เจ๊ค อยู่บนอีกเนินหนึ่งตรงกันข้ามอีกฟากหนึ่งของอ่าว  และยังมีปราสาทหลังหนึ่งอยู่บนเนิน  ทั้งพ่อและแม่ตกใจที่ลูกเรียนได้รวดเร็วถึงปานนั้น  และซักกันใหญ่ ว่าลูกเรียนอย่างไร

นี่คือการเรียนรู้ที่แท้จริง โดยไม่ต้องมีโรงเรียน  เรียนที่บ้าน ผ่านอินเทอร์เน็ต  ค้นหาความรู้เอาเองจาก อินเทอร์เน็ต  เอามาทดลองใช้  หากใช้ไม่ได้ผลก็หาใหม่ ลองใหม่  หาครูเอาเองจากอินเทอร์เน็ต  ร้องขอความช่วยเหลือไม่นานก็จะมีคนใจดีเข้ามาแนะนำ   หรืออาจจะกล่าวว่า นี่คือโรงเรียนแบบใหม่ ก็ได้ 

ทักเก้อร์ กำหนดเป้าหมายการเรียน หรือ “หลักสูตร” ของตนเอง  และปรับหลักสูตรของตนอยู่เสมอตามสิ่งที่ตนเรียนรู้แล้ว และสิ่งที่ตนอยากรู้ต่อไป  เขารวบรวม “ตำรา” ของเขาเอง เน้นจาก YouTube  เขาเสาะหาครูเอง จากเพื่อนๆ และจากคนที่ใช้ software นี้ทั่วโลก  เขาประเมินผลงานของตนเอง  ถ้ายังไม่ดีก็ยกเลิกแล้วทำใหม่  และอาจต่อเติมตกแต่งแก้ไข เมื่อเกิดแนวความคิดใหม่  และช่วยให้ความเห็นหรือ feedback แก่ “เพื่อนๆ” ในแวดวง อย่างสม่ำเสมอ 

จะเห็นว่า ใน “โรงเรียนแบบใหม่” ผู้เรียนเป็นผู้กำหนดเกือบทุกสิ่ง  นี่คือการเรียนรู้ยุคใหม่ ที่อาจเรียกว่า Learners-Directed Education - การศึกษาแบบที่ผู้เรียนเป็นผู้อำนวยการการเรียนรู้  ซึ่งตรงกันข้ามกับการศึกษาแบบเก่า ที่ครูและผู้บริหารระบบการศึกษาเป็นผู้อำนวยการการเรียนรู้  นักเรียนเป็นเพียงผู้รอรับถ่ายทอดความรู้ 

สิ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ระหว่างโรงเรียนแบบใหม่ กับโรงเรียนแบบเก่า  คือความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ของเด็กหรือผู้เรียน  เพราะในโรงเรียนแบบใหม่ สิ่งที่เรียน (หลักสูตร) กำหนดโดยผู้เรียนเอง  และผู้เรียนเป็นเจ้าของและผู้อำนวยการ “หลักสูตร” นั้น

ในโรงเรียนแบบใหม่ การเรียนรู้ไม่ใช่การบริโภคความรู้หรือสารสนเทศ  เหมือนอย่างสมัยก่อนที่ความรู้หายาก  แต่ป็นการตั้งคำถาม /กำหนดเป้าหมายของการสร้างสรรค์ แล้วดำเนินการ หรือลงมือทำ ร่วมกับผู้อื่น  เป็นการทำงานจริง ในสภาพจริง  และแสดงบทบาทสร้างความรู้เพิ่มให้แก่โลก  ไม่ใช่บริโภคความรู้ของโลก  เป็นการสร้างนิสัยและทักษะของผู้รียนรู้ตลอดชีวิต  ในท่ามกลางโลกที่เชื่อมต่อและสารสนเทศมากล้น  จุดเน้นเปลี่ยนจากการจำเนื้อหา (content mastery) มาสู่การมีทักษะหรือความสามารถในการเรียนรู้ (learning mastery)  นักเรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตนเอง  นักเรียนใช้ความสามารถในการเข้าถึงสาระวิชาและครู ในการทำงานสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้ตามที่ตนปรารถนา

โรงเรียนและห้องเรียนแบบใหม่ กลายเป็น node ของ learning network ขนาดมหึมาในโลก  เลยจากห้องสี่เหลี่ยมหรือรั้วโรงเรียน  การเรียนรู้คือการทำงาน  เน้นการทำงานร่วมกับคนอื่น ไม่ใช่ทำคนเดียว 

การสอบ ไม่เน้นสอบความรู้  แต่เน้นสอบสิ่งที่นักเรียนทำโดยการประยุกต์ใช้ความรู้  หรือสอบทักษะในการประยุกต์ใช้ความรู้ 

โรงเรียนแนวใหม่ เป็นการเรียนทำงาน หรือฝึกเพื่อชีวิตจริง  ไม่ใช่ที่เรียนวิชา เพื่อให้ได้เกรดสูง และได้หน่วยกิต เพื่อได้ประกาศนียบัตร และเพื่อการแข่งขันว่าข้าเก่ง เป็นที่ยอมรับของคนอื่น อย่างในโรงเรียนแบบเก่า

โรงเรียนแบบใหม่ มีข้อท้าทายตรงที่ประเมินแบบ quantitative ยากกว่าโรงเรียนแบบเก่า  เราจะวัดความริเริ่มสร้างสรรค์ ความอดทนทำงานต่อเนื่อง  ความสามารถในการแก้ปัญหา  ทักษะความร่วมมือ  โดยการทดสอบแบบเก่าไม่ได้  เราต้องมีวิธีทดสอบแบบใหม่  ที่ให้คะแนนผลงานจริงๆ  จากการประเมินที่ทำต่อเนื่อง และเป็นการประเมินแบบ qualitative   เราต้องไม่พยายามประเมินเฉพาะส่วนที่วัดได้ และละเลยส่วนที่วัดไม่ได้ แต่สำคัญกว่า 

ในโรงเรียนแนวใหม่ ความรู้เชิงเนื้อหา และความสามารถพื้นฐานมีความสำคัญ  เพื่อการสื่อสาร ทำงาน และแสดงเหตุผล นักเรียนต้องอ่านออกเขียนได้พูดเป็น  รวมทั้งต้องมีพื้นฐานแน่นด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และอื่นๆ  แต่นักเรียนต้องไม่ใช่แค่รู้วิชาเหล่านี้  ต้องสามารถเอาความรู้เหล่านี้ไปต่อความรู้อื่น และประยุกต์ใช้ประโยชน์เป็น

วิจารณ์ พานิช

๑๒ เม.ย. ๕๖

   



หมายเลขบันทึก: 532978เขียนเมื่อ 15 เมษายน 2013 03:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2013 03:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

กราบสวัสดีปีใหม่ไทยอาจารย์หมอครับ

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้อาจารย์หมอ และครอบครัว
มีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะครับ

สมัยก่อน ตอนเป็นเด็ก  ครู และการสอน + ตัวหนังสือเป็นเรื่องสำคัญ

ยุคต่อมา ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน  ผู้คนรู้ตัวหนังสือ  มากมายที่อ่านหนังสือออก 

การสอบข้อเขียนเป็นด่านแรกของการไปสู่ความต้องการไต่เต้า

เมื่อผ่านมา  เราเองก็เคยมาจากจุดนั้น  วันนี้คุณพ่อก็ได้จากไปแล้ว

เหมือนกับเราก็โตขึ้นด้วยเมื่อไม่มีคุณพ่อ

มองกลับไป  ที่เสียหายมากมาย เสียรู้ทำให้คุณพ่อต้องพลาดท่าชะตากรรมในการรักษาพยาบาลกับโรงพยาบาลแพทย์ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือมากมาย แต่ว่า คนคงจะใช้เครื่องมือไม่เป็นค่ะ  ซึ่งถ้าใช้เป็น ก็ไม่เสียใจเลย เพราะเราต่างก็ใช้วิทยายุทธไปจนเต็มสุดกำลัง

ถ้าไม่โตขึ้น ถึงมองย้อนกลับไปก็คงมองไม่เห็นหรอก  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีปรากฎในตำราเรียน

ตอนนี้ ยุคอินเทอร์เน็ต  ไม่ใช่เราคนเดียวที่พบเรื่องเสียรู้เหล่านี้

มีโรงเรียนแพทย์ และเครื่องไม้เครื่องมือแพงๆ ไปทำไม ? 

เมื่อระบบการรับคนเข้าเรียนแพทย์ ยังเป็นการคัดเลือกนกแก้วนกขุนทอง


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท