ผลกระทบจากโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด
ผมเคยบันทึกเรื่องนี้ไว้ ที่นี่ และ ที่นี่ บัดนี้ผมได้รับรายงานผลการวิจัยของนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความเป็นกลาง จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อดังนี้
“โครงการรับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ด มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างตลาดค้าข้าว และกลไกการแข่งขันในตลาดข้าวไทยอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ทั้งในแง่ผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย รวมไปถึงผลกระทบต่อภาระงบประมาณของประเทศ และกรอบความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต”
“โครงการรับจำนำข้าว มีผลให้ต้นทุนของผู้ส่งออกและราคาข้าวไทย สูงกว่าประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะเวียดนามและอินเดียค่อนข้างมาก ส่งผลให้ประเทศผู้ซื้อข้าวของไทย หันไปนำเข้าข้าวจากแหล่งอื่นที่มีราคาถูกกว่า โดยในปีที่ผ่านมาปริมาณการส่งออกข้าวของไทยปรับลดลง 35% (YoY) และทำให้ไทยต้องเสียแชมป์ผู้ส่งออกข้าวเป็นครั้งแรกในรอบกว่า ๒๐ ปี สำหรับแนวโน้มการส่งออกข้าวในปีนี้ คาดว่ายังคงเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับไทย เพราะแม้ว่ารัฐบาลจำเป็นจะต้องทะยอยระบายข้าวออกจากสต็อกที่มีอยู่ในมือก็ตาม แต่ผู้ส่งออกไทยคงต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ ทั้งจากราคาข้าวไทยที่สูงกว่าคู่แข่งมาก เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งตลาดข้าวซึ่งยังเป็นของผู้ซื้อ หรือแม้แต่นโยบายของประเทศผู้นำเข้าข้าวหลายประเทศที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับนโยบายพึ่งพาผลผลิตภายในประเทศของตนเองมากขึ้น”
“ส่วนในประเด็นด้านภาระงบประมาณ คงต้องยอมรับว่าโครงการนี้ได้ก่อให้เกิดภาระด้านการคลังที่สูงมาก ทั้งจากการตั้งราคารับซื้อข้าวจากชาวนาที่สูงกว่าราคาตลาดมาก ดอกเบี้ยเงินกู้ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ บริหารจัดการ และการระบายสต็อกข้าว รวมไปถึงความเสี่ยงจากผลขาดทุนที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของข้าว หากไม่สามารถระบายข้าวในสต็อกได้หมดภายใน ๑ - ๒ ปี ครม. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับโครงการรับจำนำข้าวปีการผลิต 2012/13 สำหรับข้าวนาปีและนาปรัง รวม ๔๐๕,๐๐๐ ล้านบาท) ทั้งนี้ จากการประมาณการเบื้องต้น คาดว่า รัฐบาลจะต้องใช้วงเงินในการดำเนินการโครงการนี้ประมาณ 4.6 – 4.7 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งจะทำให้ภาครัฐมีผลขาดทุนจากโครงการไม่ต่ำกว่าปีละ ๑.๒ แสนล้านบาท และจะทำให้หนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มขึ้นอีกราว ๑๓% (กรณีที่รัฐไม่สามารถระบายข้าวที่รับจำนำไว้ได้) เป็น ๕๗% จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ ๔๔% ซึ่งเข้าใกล้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง (Fiscal Sustainability Framework) ซึ่งกำหนดไว้ที่ ๖๐% ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศในอนาคตได้”
ผมดูทีวีเมื่อวันที่ ๒ เม.ย. ๕๖ เห็น ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร แห่ง ทีดีอาร์ไอ ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลการขายข้าว ไม่ใช่ปกปิดอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้การตรวจสอบโดยสังคมทำไม่ได้ จะเห็นว่ารัฐบาลมีปัญหาความโปร่งใส ทำให้ข้อกล่าวหาว่าโครงการนี้เป็นวิธีถ่ายเงินหลวงเข้าพรรคหรือเข้ากระเป๋า น่าสงสัยว่าจะจริงมากยิ่งขึ้น
วิจารณ์ พานิช
๔ เม.ย. ๕๖
เรียน ท่านอาจารย์ที่เคารพ ผมอ่านบทความของท่านอาจารย์ และผลการวิจัยเรื่องนี้แล้ว ผมขอเสนอความคิดในเรื่องนี้ว่า การใช้นโยบายเรื่องรับจำนำข้าวของรัฐบาลนี้น่าเป็นห่วงต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศไทยเรามากครับ ประเด็นคือ 1.การทำให้การส่งออกข้าวไทยอยู่ในภาวะตกต่ำ จากปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวไทยมีราคาแพงกว่า ราคาข้าวของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญ 2. ข้าวที่มีอยู่สต๊อก(โกดังเก็บสินค้า) จะเสียหาย เพราะไม่สามารถจำหน่ายออกไปได้ 3. กระทบต่องบประมาณของประเทศไทย ที่ต้องจัดสรรเงินงบประมาณไปรับจำนำข้าว ที่มีราคาสูงกว่าความเป็นจริงของราคาตลาดโลก 4. ความไม่โปร่งใสในการบริหารเรื่องเงินรับจำนำข้าว 5. กระทบต่อการที่รัฐบาลไม่รับจำนำสินค้าเกษตรอื่น ที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับข้าว เช่น ยางพารา ข้าวโพด มันสำปะหลัง
จากห้าประเด็นที่สำคัญดังกล่าว ผมจึงทำนายเศรษฐกิจข้าวไทยในอนาคต จากผลการวิจัย และจากปัจจัยอื่น ๆ ได้ว่า ข้าวไทยจะมีผลตกต่ำอย่างน่าเป็นห่วง ถ้าเราไม่แก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน จะทำให้ประเทศไทยเราเสียตลาดคู่ค้าที่สำคัญไป เสียเงินงบประมาณของแผ่นดินที่สูญไปกับการจำนำข้าวที่มีราคาเกินความเป็นจริง เมื่อเทียบกับราคาตลาดโลก ความเสียหายจากข้าวที่เก็บไว้ในโกดังข้าวที่ไม่ได้มาตรฐาน ความเสียหายจากการที่รัฐบาลไม่ให้ความเป็นธรรมกับการรับจำนำสินค้าเกษตรอื่นที่มีความสำคัญเช่นเดียวกันกับข้าว ความเสียหายจากความไม่โปร่งใสของการบริหารเงินในการรับจำนำข้าว
คนไทยที่รักเมืองไทยเราครับ