สรุปแล้ว...ชาติหน้า มีจริงหรือไม่ (ฟันธง จากคนถางทาง)


สรุปแล้ว...ชาติหน้า มีจริงหรือไม่ (ฟันธง จากคนถางทาง)

คนไทยเรา ส่วนใหญ่ เชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว (ซึ่งเรื่องนี้ผมได้เอาไปเปรียบกับกฎข้อที่สามของนิวตันไว้แล้วว่า action=reaction)

แต่ต้องยกเครดิทให้ นายเงื่อม แห่งไชยา สุราษฎ์ธานี (ฉายา... “พุทธทาสภิกขุ”) ที่ออกมาแย้งว่า “ชาติหน้าไม่มี” โดยท่านสาธยายมากมาย

โดยส่วนตัวผมเคารพ และเชื่อ ท่านพุทธทาส ๙๙ ปซ (มากกว่าเชื่อ พพจ. เสียอีก ...ตามหลักกาละมะสูตร) แต่เรื่องชาติหน้าไม่มีนี้ ผมขอค้านท่านเงื่อมแบบหัวชนฝา 

บทความทำนองว่า ชาติหน้าไม่มี ของท่านพุทธทาส  ผมอ่านมา "นับร้อยครั้ง" แล้ว และคิดมาเป็นร้อยๆ ชั่วโมง    แต่ผมยังยืนยันว่าการเกิดใหม่มี ชาติหน้ามี  แต่มันมี “แบบไม่มี” (ใช้ภาษาท่านพุทธทาสเองมาล้อเลียนคำสอนเรื่องชาติหน้าของท่านเองนะเนี่ย มี...แต่มีแบบไม่มี )    

ถ้าไม่มีการเกิดใหม่ ไม่มีชาติหน้า เราก็ทำเลวกันให้หมดดีไหม โกงกินชาติบ้านเมืองให้สนุกแบบนักการเมืองไทยดีไหม หรือไม่ก็ฆ่าตัวตายกันให้หมดโลก ที่นี่ เดี๋ยวนี้  ดีไหม  จะได้หมดทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้ ตามหลักคำสอนศาสนาพุทธที่แท้จริง ดังที่ท่านพุทธทาสสอนไว้ 

นักการเมืองไทย ส่วนใหญ่ เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ชาตินี้ ชาติหน้า แต่ทำไมยังโกง....ผมตอบง่ายๆว่า เราไปคิดแทนเขา ว่าเขาโกง ส่วนตัวเขา เขาคิดว่าเขาไม่โกง เขากำลังทำดี ทำบุญ ช่วยชาติด้วยซ้ำไป เช่นอุตส่าห์ไปหางบมาสร้างถนนให้หมู่บ้าน (แม้จะงาบหัวคิวไปสัก ๑๐ ปซ. ก็ตาม แต่ ๙๐ ปซ. กูหามาให้นะโว้ย ปกติมรึงไม่ได้แม่แต่ ๐ อยู่แล้ว ดังนั้นกรูทำดีนะโว้ย)

อาจไปด่าเขาว่า ทำดีเพื่อกินหัวคิว ...แต่มันก็อ้างว่า ผมทำดีแล้วนะ คนอื่นมันกิน ๓๐ ด้วยซ้ำไป ผมกินแค่ ๑๐ ทำให้เม็ดเง็นตกถึงพื้นที่มากกว่าคนอื่น (สมัยหน้าอย่าลืมเลือกผมกลับมาอีกนะ) 

พพจ.ทรงฉลาด ท่านจึงไม่ฟันธงว่า อะไรคือบุญ บาป แต่ท่านบัญญัติสั้นๆ ว่า ไม่แน่ ขึ้นอยู่กับบัญญัติแห่งคนที่ฉลาดที่สุดในสังคมนั้นๆ เช่น ในสังคมจีน คนกินแล้วเรอถือว่าให้เกียรติ ส่วนสังคมไทยหาว่าเสียมารยาท เป็นต้น ...ดังนั้นความดีในสังคมหนึ่งกลับกลายเป็นความเลวในอีกสังคมหนึ่ง ดังนั้นความดีเลวนั้นมันสัมพัทธ์เสมอ ไม่มีสัมบูรณ์ไปได้ การเกิดใหม่ มันก็สัมพัทธ์ประมาณนั้นแหละ

ท่านพุทธทาสนั้น ผมว่ามีปัญหาอยู่ประการหนึ่งคือ ฉลาดเกินไป  จนติดกับดักความฉลาดของตนเอง  ออกจะมีอีโก้ด้วยซ้ำไป  โดยเฉพาะในเรื่องการเกิดใหม่นี้ ถ้าอ่านท่านให้ดีๆ ท่านมักยกตนข่ม พระบ้านนอก พระป่าเสมอ ทำนองว่า โง่ เอาแต่นั่งหลับตา เป็นพรหมลูกฟัก ...ซึ่งผมเห็นด้วยนะ ๙๗.๙ ปซ. แต่ท่านอาจลืมบริบทไปว่า โลกเรานี้ คนโง่มากกว่าคนฉลาดร้อยเท่า มันต้องมีวิธีการสอนต่างกัน สุดท้ายแล้วก็ไปถึงจุดหมายเดียวกัน แต่อาจใช้เวลานานหน่อย 

คำสอนท่านพุทธทาส เหมาะสำหรับคนฉลาดที่สุด เป็นยอดคำสอน เข้าใจได้ยาก แม้ในหมู่คนฉลาดก็ตาม

ผมศึกษาคำสอนท่านพุทธทาสมามาก และนาน ตั้งแต่อายุ ๑๘ ยัน ๓๕ เห็นจะได้ ก่อนแต่มีอินตะเน็ต แม้ในหนังสือเล่มเล็ก ที่พิมพ์ครั้งเดียว ที่คงไม่มีใครอ่าน มีหนังสือหนึ่งเล่าว่า (จากการสัมภาษณ์ ซักหนักๆ  จากพระที่ไม่เกรงใจท่าน ต้องขอบคุณพระท่านนี้มากๆ ที่กล้าถามท่านแบบไม่เกรงใจ) ท่านยอมรับเฉยเลยว่า “การเกิดใหม่มีจริง”  โดยท่านอุปมา ว่า  "เหมือนนกถูกรื้อรัง  แล้วไปสร้างรังใหม่" 

ซึ่งผมมาคิดต่อยอดว่าท่านอุปมาได้ดี  คือ รังใหม่นั้นมันไม่ใช่รังเก่า  วัสดุใหม่หมด อาจมีวัสดุเก่าปนบ้างก็โดยบังเอิญ ส่วนน้อย  แต่ความตั้งใจในการสร้างนั้น ยังเป็น “ความตั้งใจของนกตัวเดิม” สภาพรังก็ยังคงคล้ายเดิมนั่นแหละ เช่น นกกระจาบ  สร้างรังใหม่ ก็ยังมีทรงเดิมๆ   ไม่เหมือนรังของนกกระจอก ....อุปมาว่า คนโลภ โง่ สร้างรังใหม่ ก็ยัง โลภ โง่ เหมือนเดิม แต่มันอาจมีวิวัฒนาการได้ ...เช่น นกกระจอก อาจไปเกิดใหม่เป็นนกกระจาบ ก็เป็นได้นะ 

ที่ท่านพุทธทาสท่านพยายามสอนว่า โลกหน้าไม่มีนั้น เป็นอุบายการสอนของท่าน     ท่านสอนขนาดว่า โลกนี้ก็ไม่มี (เป็นอนัตตา)  แล้วโลกหน้าจะมีได้อย่างไร  

จนในประมาณ คศ. ๑๙๙๔ ผมได้เอาคำสอนท่านไปแปลเป็นอังกฤษว่า “ Even this very life does not exist, How could the next life?” ในยุคแรกๆ ของอินตะเน็ท .......จนทำให้ติดอันดับ top 20 ของโลกไปแล้ว (จากการจัดอันดับของหน่วยงานอิสระแห่งหนึ่งของฝรั่ง) เคียงคู่คำคมจากคนดังอย่าง Einstein, Robert Frost, Twain, เชคสเปียร์ ใ กวีเอก และนักปราชญ์อมตะอื่น

สรุป...เกิดใหม่มีจริง แต่ถ้าจะไปเกิดในสวรรค์นั้น ต้องจ่ายค่าหัวคิวสูงระดับหนึ่ง ถ้าจ่ายมากเกินไปก็ไปเกิดในนรก (สองเด้ง ๕5ฮ่าส์) 

...คนถางทาง (๒๙ มีนาคม ๒๕๕๖)

ปล...กรุณาห้ามโต้เถียงบทความนี้ด้วยไสยศาสตร์ หรือ ญาณ ฌาณ ส่วนตัวที่อ้างว่าฝึกมาดีแล้ว แต่หากโต้ด้วยปัญญาบริสุทธิ์ ก็จักน้อมรับ  เพือนจรรโลงนิพพานให้ยังคงเป็นจุดหมายแห่งมนุษยชาติต่อไป


หมายเลขบันทึก: 531579เขียนเมื่อ 29 มีนาคม 2013 03:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 เมษายน 2013 17:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เรื่องน่าสนใจ

ผมเคยได้ยินหลายเรื่องที่ว่า เด็กคนนั้นเกิดมาแล้วมีพฤติกรรม คำพูด เหมือนคนที่ตายไปแล้ว อย่างนี้น่าจะเอามาประกอบการพิจารณาเรื่องนี้ได้เหมือนกัน

ไร้สาระ สุดท้ายก็อ่านมาแล้่วก็ มโนว่ามีจริง การที่จะมายืนยันในสิ่งที่ไม่สามารถแม้กระทั่งพิสูจน์ได้เนี่ย ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเป็นพวกไม่มีวิจารณญาณ บอกอย่างมั่นใจว่ามี แต่ก็ไม่มีสิ่งพิสูจน์ ให้ที่อ่านๆมาเนี่ย มันไม่เรียกว่าพิสูจน์หรอก พวกที่หลงโง่งมงามกับ คำสอนบ้าบอ ต่างๆนาๆก็มีแต่พวกคนเจนเก่าๆ ก่อนจะมี พุทธ คริส อิสลาม มีมาไม่รู้กี่ศาสนา กี่ความเชื่อ ไปลองคนประวัติศาสตร์ดูบ้างก็ดีนะ วิทยาศาสตร์ด้วย อย่าเอาแต่นั่งมโนอ่านหนังสือพระ แล้วเข้าข้างตัวเอง ลองจินตนาการโลกนี้ในอีก 1000 ปีข้างหน้าดูนะ แล้วจะรู้ว่า เรื่องราวของสิ่งที่เรียกว่า ศาสนานั้น มันก็แค่กบในกะลา และ ไร้แก่นสาร สักวันนึงมันจะกลายเป็น 0 เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ ยุคสมัยใหม่ ที่ทุกอย่างเป็นเทคโนโลยีทั้งหมด สิ่งที่เห็นด้วยตาคือวิทยาศาสตร์ เลิกมโนแล้วพูดจาสวยรู้ แล้วมาฟันธงกันดื้อๆแบบนี้ ไม่สมกับเป็นการวิเคราะห์แบบมีเหตุมีผลเลยนะครับ ก่อนจะฟันธงอะไร มันต้องมีหลักฐานก่อนไม่ใช่หรอ ??? ดูแค่นี้ก็รู้ทัศนคติแล้ว 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท