กวดวิชา...และการสอบแกะแพะโอ้เอ้


กวดวิชา...และการสอบแกะแพะโอ้เอ้

เด็กไทยวันนี้บ้ากวดวิชากันมากจนกลายเป็นปัญหาประจำชาติไปแล้ว ปัญหาก็คือ เสียเงิน เสียเวลา เครียด และยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคม (คนรวยมีเงินให้ลูกกวดวิชายิ่งรวยขึ้น (ถ้ากวดแล้วเข้าได้..แต่ถ้าเข้าไม่ได้ก็จะยิ่งจนลง))

น่าสนใจว่าเด็กกวดนี้มักเป็นเด็กที่เรียนดีในระดับแนวหน้าอยู่แล้วด้วย ส่วนเด็กเกเร พวกโหล่ๆไม่ค่อยมากวด (ทั้งที่น่าจะมากวดมากกว่าเด็กเรียนดี) ..ประเด็นนี้สำคัญมาก ....นี่แสดงว่าอะไร (นี่ว่าสำหรับเด็กประถม มัธยมนะ ส่วนเด็กมหาลัยตรงข้ามเลย ไปกวดวิชาหน้ามอ. เพราะเกเร ไม่สนใจการเรียนในห้อง ส่วนเด็กเรียน ไม่ไปกวดหรอก ) 

รร.กวดวิชาจำนวนมากคุยโวโอ้อวดสถิติว่า กวดแล้วเข้ามหาลัยได้มาก ..ก็แน่ละ เด็กพวกนี้มันเด็กเรียนอยู่แล้ว ไม่ต้องกวดมันก็คงจะเข้าได้อยู่แล้วแหละ ถ้าจะท้าพิสูจน์ ให้ทำการวิจัยสัก ๓ ปี ด้วยการเปิดโรงเรียน ม.ปลาย แล้วเอาครูกวดวิชาพวกที่คุยว่าเก่งๆ พวกนี้แหละ ไปเป็นครูประจำ โดยเด็กรร.สาธิตนี้ห้ามไปกวดวิชาเพิ่มนะ แล้ววัดผลซิว่า นร. รร. นี้จะสอบเข้ามหาลัยได้มากกว่าปกติไหม โดยนร. ในรร. ก็ต้องเป็นเด็กปกติเหมือนรร.อื่นด้วยนะ ห้ามคัดเอาแต่พวกเก่งๆ เข้ามา ผมว่าเผลอๆ จะสอบเข้าได้น้อยกว่าค่าเฉลี่ยเสียอีก เพราะครูกวดวิชาที่ว่าเก่งๆพวกนี้พอไปเจอห้องเรียนจริงเข้า ก็อาจไปไม่เป็นเหมือนกัน เช่น อ่อนแรงจากการต้องสอนเด็กเก่งผสมเด็กเกเร เป็นต้น ยิ่งถ้าครูไม่เก่งจริงดังที่อวดโอ้ ก็ยิ่งไปกันใหญ่

เอาหละ...รร. กวดวิชามันคงห้ามยากแล้ว มันเกิดขึ้นจากหลายเหตุและปัจจัยเหลือเกิน ปัจจัยที่คนไม่ค่อยคิดกันคือช่องว่างทางสังคม เพราะคนที่จบมหาลัยดังวันนี้ กับคนไม่จบ มันจะมีสถานะในอนาคตต่างกันฟ้ากะเหว ด้วยเหตุผลหลากหลายประการที่มันผิดเพี้ยน แต่เอาละ เรื่องนี้พักไว้ก่อน ..ดังนั้นพ่อแม่ก็เลยอยากให้ลูก “เข้าให้ได้” ก็เลยต้องกวดๆๆ ...ส่วนใน usa การเข้าเรียนฮาวาร์ด กับเข้าเรียน ม.เล็กๆ ในท้องถิ่นที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง จบออกมา ไม่ต่างกันเท่าไร ในอนาคตอาจกวดกันทันหรือแซงด้วยซ้ำไป เพราะฝรั่งเขาวัดกันที่ความรู้ ไม่ได้วัดว่าจบมาจากสถาบันใด (ก็วัดเหมือนกันแหละ แต่มันน้อยกว่าไทยเราร้อยเท่าได้กระมัง) 

ถ้าจะให้เลิกกวดวิชาในระดับประถม มัธยม ก่อนอื่นผมเสนอว่าให้การสอบเข้ามหาลัย (หรืออะไรก็ตาม) วัดผลจากการสอบไล่ในรร.เท่านั้น โดยการสอบไล่ดังกล่าวเป็นข้อสอบเดียวกันทั่วประเทศ (สมัยก่อนก็ทำแบบนี้ยังบริหารจัดการได้ สมัยนี้มีเทคโนโลยีสูงส่งจะทำไม่ได้เจียวหรือ) อีกทั้งข้อสอบดังกล่าวต้องเป็นไปตามหลักสูตร ห้ามออกนอกหลักสูตรที่สอน แบบนี้น่าจะลดการกวดวิชาได้มาก เพราะเพียงแค่สนใจเรียนในห้องเรียนอย่างเต็มที่ก็จะทำข้อสอบได้แล้ว โดยไม่ต้องไปกวดวิชา 

ผลพลอยได้คือ การสอบแกะแพะโอ้เอ้เน็ตหลากหลายจะหมดไป ทำให้เด็กไม่เครียด และเสียเงินค่าสมัครสอบ วุ่นวายกันไปหมด (Gat Pat O A Net)

ต่อไปคือ ครูผู้สอนจะต้องมีคุณภาพ มีวิธีการสอนที่ดี ทำให้นักเรียนเข้าใจได้ อีกทั้งต้องมีเมตตาสูง มีมานะอดทนในการสอนเด็กโง่ให้ฉลาดได้ ครูเก่งๆ ดี ๆ เมตตาสูงๆ นั้นไม่ควรให้เกษียณ แต่รักษาไว้ให้สอนต่อไปอีกนานๆ จนกว่าท่านจะเบื่อ ลาออกไปเอง

ปฏิรูปหลักสูตร ให้นักเรียนเรียนน้อยลง แต่เลือกเรียนเฉพาะวิชาที่ตนชอบ ที่ใช้ในการสอบเข้ามหาลัย และเรียนต่อในสาขาวิชาที่เลือก เช่น พวกอยากเข้าเรียนต่อด้านชีวะ ทำไมต้องไปให้เรียนฟิสิกส์ เคมี คณิต มากๆด้วย แบบนี้มันได้สองต่อ คือ นร.มีเวลาเรียน ย่อยความรู้มากขึ้น และมีความสนุกกับวิชาที่เลือกเรียนเอง คุณภาพความรู้ก็จะดีขึ้นโดยไม่ต้องไปกวดวิชา (โดยเฉพาะวิชาที่ไม่ชอบ)

โฮ่ย..เหนื่อยแล้ว เอาไว้วันหลังมาลุยเรื่องนี้ต่อ

..คนถางทาง (๒๐ มีนาคม ๒๕๕๖) 


หมายเลขบันทึก: 530767เขียนเมื่อ 20 มีนาคม 2013 14:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มีนาคม 2013 14:20 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

อยากบอกให้สำรวจความเห็นของเด็กๆบ้างนะคะ เชื่อว่ามีเด็กไม่น้อยที่จะช่วยคิดได้ว่าเราควรจะเรียนจะสอนอะไรกัน อย่างน้อยจากที่ฟังสาวน้อยที่สอบได้ที่หนึ่งของโลกมาหมาดๆ เธอก็ไม่เรียนกวดวิชานะคะ และมีแนวคิดที่ดีมากๆต่อการเรียนรู้ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท