ข้อคิดจากเมียเช่าพัทยา ต่อการปฏิรูปการศึกษา (ตอนที่ ๓)


ข้อสังวรจากเมียเช่าพัทยา (ต่อการปฏิรูปการศึกษา...ตอนที่ ๓)

น่าสังวรว่าเมียเช่าริมหาดพัทยาโดยเฉลี่ยพูดอังกฤษเก่งกว่าบัณฑิตจบมหาวิทยาลัยโดยเฉลี่ย   ที่กว่าจะจบมาได้ต้องเรียนภาษาอังกฤษ ๑๙ ปี (จากอนุบาลยันปี ๔) เป็นเวลาประมาณ ๒๓๐๐ ชม.   (ไม่ได้เคยใช้บริการหรอกนะ แต่แอบฟังเธอคุยกะฝาละมีข้างโต๊ะอาหารง่ะ) 

พวกนวดฝ่าเท้า  สามล้อ มอไซค์รับจ้าง หาบเร่ หมึกย่าง ริมหาด ต่างก็เก่งพอกัน

นี่เป็นข้อน่าคิดว่าคนเรานั้นถ้าเขามีใจรักและหรือความจำเป็นที่จะเรียน ไม่ต้องมีครูมาสอนเขาก็เรียนด้วยตัวเองจนเก่งได้ 

ดังนั้นความมีใจฝักใฝ่ที่จะเรียนนี้มันสำคัญที่สุด  มันต้องพัฒนาขึ้นมาในใจของผู้เรียนให้จงได้  ไม่งั้นปฏิรูปการศึกษาเข้าไปอย่างไร กี่วิธี ถมเงินกันเข้าไปเท่าไร ก็จะไร้ผลเหมือนการเรียนภาษาอังกฤษในรร. และมหาลัยนั่นแหละ 

การใฝ่เรียนนั้นมันจะพัฒนากันได้อย่างไร ผมว่าดังนี้ครับ

๑. วิชาที่จะสอนมันต้องสัมพันธุ์กับวิถีชีวิต  ความอยู่รอดของผู้เรียน (ดังนั้นเมียเช่าเขาจึงเรียนอังกฤษได้ไวเพราะมันสัมพันธ์กับความอยู่รอดของเขา)  ซึ่งเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ เขาคงยังไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร  ซึ่งพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ต้องช่วยให้คำปรึกษา อีกทั้งหลักสูตรก็ต้องมีทางเลือก และวางสายกลางไว้ก่อน อย่าไปบังคับ และคิดเผื่อเด็กไปเสียทั้งหมด 

๒. ต้องพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้สนุก  ..สนุกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงตลกโปกฮา ร้องรำทำเพลงนะ  แต่หมายถึงสนุกในการเรียนรู้  ความสนุกในการเรียนรู้นี้มันจะแตกยอดผลิดอกต่อไปอีกมากหลายจนเหลือเชื่อ แล้วสุดท้ายมันจะกลั่นตัวออกมาเป็นความชอบความรักเฉพาะทางพอมีความรัก มันก็จะมีความใฝ่เรียนรู้ตามมาแบบอัตโนมัติ  ยิ่งถ้าครู พ่อแม่ ช่วยย้ำด้วยว่า วิชาจะพารอด ก็จะยิ่งดี

๓.. ซึ่งหลักสูตร จะต้องมีวิชาเลือกสายต่างๆ เอาไว้รองรับความรัก ความชอบเหล่านั้น ให้หลากหลายพอควร   แบบว่าเขาเลือกเรียนเองตามความรัก ไม่ใช่ว่าเราไปบังคับให้เขาเรียน (แต่แน่นอนว่า ในขั้นต้นๆ  เช่น ขั้น ๒ ก็คงต้องมีการบังคับกันบ้างเล็กน้อย  เพื่อให้เขาไปลองเรียนในเรื่องอื่นๆ ที่เขาไม่ชอบดูบ้าง เผลอๆ สนุก เพลิน อาจกลายเป็นชอบไปก็ได้ และทำได้ดีกว่าวิชาที่เคยชอบในอดีตด้วยซ้ำไป) 

๔. จะต้องมีระบบป้อนกลับทางเลือก  เพื่อรองรับพวก “ตกออก”  “เด็กมีปัญหา”  ให้ได้มีโอกาสกลับเข้าสู่ระบบการเรียนรู้  ในทุกระดับ วันนี้ยังดีที่มี กศน. มีมหาลัยเปิด แต่ยังมีอะไรที่ทำได้ดีกว่านี้อีกมาก เช่นเด็กที่ประหลาดมากๆ ที่ไม่ยอมเรียนแม้กศน.จะทำอย่างไร  ปล่อยให้กรรมเก่าจัดการอย่างนั้นหรือ  หรือว่าอาจมีโรงเรียนวิชาชีพทางเลือกให้ที่ทำให้พวกนี้สนุกกับการเรียนตามระดับปัญญาของพวกเขา   เช่น การแต่งรถมอไซค์ให้เท่ห์  การขับรถแว้นที่ปลอดภัยต่อตนเองและผู้อื่น   การเป็นผู้ช่วยตำรวจ การเป็นผู้ช่วยกุ๊ก (ทำอาหาร)  การขายของทางอินเตอร์เน็ต  จบออกมามีอาชีพ และเป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย รวมทั้งช่วยลดปัญหาสังคม  (ลดการใช้ภาษีของคนอื่นๆ มาแก้ไขปัญหาสังคมโดยคนกลุ่มนี้)

การรักเรียนนั้นมันมาได้หลายทาง เช่น จากการบีบคั้นเพื่ออยู่รอด (เช่นเมียเช่า)  ความอยากได้ใคร่ดี (พวกชอบโก้)  ความอยากสบาย (วิชาคือทรัพย์ที่สร้างความสบายได้)  อยากสืบพันธุ์ (มีความรู้แล้วได้เมียสวยรวย)   อยากมีเกียรติ (ความรู้ทำให้มีเกียรติเป็นของธรรมดา)  ที่สูงๆ ขึ้นไปก็คือ อยากช่วยโลกสังคม  (เช่นพวกอยากเรียนหมอ แต่สุดท้ายก็โลกแตก เห็นส่วนใหญ่ก็ช่วยทำให้กระเป๋าตังค์ตนเองหนักมากขึ้นเท่านั้นเอง )  อยากหายโง่ (อันนี้น่าชม...พพจ. ท่านขวนขวาย รักเรียนด้วยตนเอง จนตรัสรู้ ก็ด้วยเหตุนี้แหละ) 

มันน่าจะมีหนทางที่จะพัฒนาการรักเรียนให้งอกในจิตวิญญาณของผู้เรียนมากมายหลายวิธี หรือหลายวิธีรวมกันแบบผสมผสาน

วันนี้ผมเพียงแค่ขอจุดประเด็น  ถ้าเห็นดีด้วยโปรดช่วยกันสานต่อครับ

...คนถางทาง (๑๙ มีนาคม ๒๕๕๖) 


หมายเลขบันทึก: 530697เขียนเมื่อ 19 มีนาคม 2013 21:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2013 21:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท