วันที่ 11 ก.ย.49 หลังจากเตรียมงานกันเรียบร้อย ที่มาจากต่างจังหวัด ก็ได้ทะยอยไปพักผ่อนบ้างแล้ว ส่วนทีมกรม ฯ ยังดำเนินการกันต่อ ช่วงประมาณ 2 ทุ่มเศษ ๆ น้องสิงห์ป่าสัก โทร.หา พูดตลกหน่อยว่า ครูนงเมืองคอน ต้องการพบผม บอกหมายเลขห้องพักเสร็จผมรีบไปเคาะประตูทันที
ผมกับครูนงได้เจอกันบ้างแล้วที่นคร ฯ แต่ก็ไม่ได้คุยกันมากนักเพราะเมื่อเจอกันต่างก็ทำภาระกิจ การแก้จนเมืองนคร ส่วนคุณน้อง สิงห์ป่าสัก เพิ่งเจอในงานนี้ ส่วนหนึ่งจากทีมงานกองวิจัย กรมส่งเสริมการเกษตร ที่ต้องการให้เรา 3 คนเจอกัน ผมทราบเจตนานี้มาก่อนแล้ว โดย "พี่หม่า" (ท่าน ผอ.ธุวนันท์ พานิชโยทัย) และทีมงาน คุณน้องสำราญ พี่แมว-พิชฎา เนื่องจากผมเองเป็นน้องใหม่ในเรื่อง KM ทีมกองวิจัยคงอยากให้ได้แลกเปลี่ยนกับผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า และก็เป็นจริงตามเจตนาครับ
ผมได้เรียนรู้จากการแลกเปลี่ยน และรู้จัก KM มากขึ้นจริง ๆ และคงไม่มีขอบเขตที่จะจบสิ้นของกระบวนการนี้ เป็นอะไรที่ลึกซึ้งยากที่จะอธิบายได้ แต่หากไม่มีการเริ่มก็ไม่มีโอกาสได้รู้จัก และหากไม่ปฏิบัติและจมอยู่กับการค้นคว้าทฤษฎี ก็ไม่มีวันรู้จักได้ เมื่อเริ่มรู้จักก็เดินเข้าไปได้เรื่อย ๆ แบบไม่มีขอบเขต แต่ใช่ว่ายิ่งเดินเข้าไปจะยิ่งมืดนะครับ ผมว่ายิ่งเดินเข้าไปจะยิ่งสว่าง โดยเฉพาะหากเราเจอคนที่มีความคิดเหมือนกัน หรือให้เข้าใจง่าย คือ "คนคอเดียวกัน"
ผม ครูนงเมือง สิงห์ป่าสัก แลกเปลี่ยนกันในหลาย ๆ เรื่อง เราพูดคุยเกี่ยวกับกระบวนการ KM กับงานที่เราทำกันอยู่ "ครูนง" อยู่ในหน่วยงานครูนอกโรงเรียน "สิงห์ป่าสัก" อยู่สายงานเดียวกับผมแต่อยู่จังหวัด ผมอยู่อำเภอ/ตำบล ซึ่งบทบาทก็ต่างกัน การแลกเปลี่ยนจึงสามารถให้อะไรที่เป็นประโยชน์กับเราทั้ง 3 มากครับ
แม้ต่างหน่วยงาน แต่วัตถุประสงค์ระหว่างการศึกษานอกโรงเรียน กับเกษตร ก็คือมีเป้าหมายลงในพื้นที่ตำบล / หมู่บ้าน เช่นกัน การบูรณาการมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะบุคคลเป้าหมายส่วนใหญ่ก็เป็นเกษตรกร ที่สำคัญก็คือทำอย่างไรให้เขารู้ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น
หากหน่วยงานไม่ยึดติดกับการสร้างกลุ่มเป้าหมายเป็นของหน่วยงาน ตั้งชื่อเป็นของหน่วยงาน การทำงานก็ไม่ซ้ำซ้อน การเรียนรู้เกษตรกรเป็นศูนย์กลางหน่วยงานต่าง ๆ เข้าหาศูนย์กลางพร้อมๆ กัน ประสิทธิภาพของการหนุนเสริมดูจะมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง แต่บางครั้งนโยบายก็อยู่เหนือเหตุผล ซึ่งผู้ปฏิบัติระดับล่างก็ปฏิบัติยาก เช่น การกำหนดตัวชี้วัดให้เป็นผลออกมาในรูปของผลงานหน่วยงาน ก็จะแยกส่วนจากการบูรณาการทันที เหมือนก้อนหินหนักหนึ่งก้อนหลายคนช่วยกันเคลื่อนย้าย ก็จะทำได้ไม่เหนื่อยหรือหนัก แต่หากอยากเอาผลสำเร็จคนเดียวก็หนัก ช้า ใช้เวลาถึงเป้าปลายทางได้ยาก อาจหมดแรงกลางทางครับ
เป็นการดีมาก ๆ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยท่านผู้ว่า วิชม ทองสงค์ ได้จัดให้หน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมบูรณาการ และใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือ ในการแก้จนเมืองนคร ผมจึงมีโอกาส ได้รู้จัก GotoKnow รู้จักคนเก่ง ๆ หลายคน เป็นกำไรชีวิตของผมเลยละครับ
เราพูดคุยแลกเปลี่ยนกันหลาย ๆ ประเด็นในเรื่องงานที่เราทำกันอยู่ จนเวลาล่วงเลยโดยไม่รู้ตัว ต้องพักผ่อนแล้วเพื่อเตรียมสุขภาพให้พร้อมในวันรุ่งขึ้น และร่วมกันฝันว่าอยากให้คนอื่น ๆ อีกหลายคนเข้าใจและรู้จักกระบวนการ KM ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นได้การทำงานการแลกเปลี่ยนเรียนรู้คงมีความสุขเกิดขึ้นกับทุก ๆ คนครับ
ผมชอบมากกับข้อความ "ผมได้เรียนรู้จากการแลกเปลี่ยน และรู้จัก KM มากขึ้นจริง ๆ และคงไม่มีขอบเขตที่จะจบสิ้นของกระบวนการนี้ เป็นอะไรที่ลึกซึ้งยากที่จะอธิบายได้ แต่หากไม่มีการเริ่มก็ไม่มีโอกาสได้รู้จัก และหากไม่ปฏิบัติและจมอยู่กับการค้นคว้าทฤษฎี ก็ไม่มีวันรู้จักได้ เมื่อเริ่มรู้จักก็เดินเข้าไปได้เรื่อย ๆ แบบไม่มีขอบเขต แต่ใช่ว่ายิ่งเดินเข้าไปจะยิ่งมืดนะครับ ผมว่ายิ่งเดินเข้าไปจะยิ่งสว่าง โดยเฉพาะหากเราเจอคนที่มีความคิดเหมือนกัน หรือให้เข้าใจง่าย คือ "คนคอเดียวกัน" .....มีความหมายในตัวเอง ไม่ต้องอธิบายอะไรอีกเลย....ถ้าผมเปรียบให้เข้ากับยุค it ก็เหมือนกับการท่องโลกอินเตอร์เน็ตนั่นแหละครับ จะเห็นอาณาจักรของความรู้ว่ามันไร้อาณาเขต ไร้พรมแดน ทำให้เราตัวเล็กลงจริงๆ (เล็กลงในเรื่องความรู้ความเข้าใจเมื่อเปรียบเทียบกับสังคมวงกว้าง)พร้อมตั้งคำถามว่าแล้วสิ่งนั้นสิ่งนี้มันคืออะไร เป็นอย่างไรอยู่เรื่อย ....หนทางนี้ในที่สุดจะทำให้เรารู้มากขึ้น...ใช่ไหมครับ
พี่ชาญวิทย์ // ผมขอเก็บเกี่ยว จากการอ่านบล็อกของพี่ๆ ที่มีอะไรดีๆออกมาให้ผู้สนใจได้อ่านเสมอๆ และหวังว่าคงจะได้ร่วมงานกันบ้างนะครับ
สำหรับ ครูนงเมืองคอน // ไช่เลยครับ