อาศัยแรงกระตุ้นจากความคิดของ Mead นั่นเอง Jacop Moreno จึงได้สร้างสังกัปการแสดงบทบาท (Role Playing) ขึ้นในหนังสือ Who Shall Survice และในวารสารหลายฉบับที่เขาได้ก่อตั้งขึ้นในสหรัฐฯ Morenoเริ่มชี้ให้เห็นว่า องค์การสังคมประกอบด้วยบทบาทจำนวนหนึ่ง (Network of Role) ซึ่งบังคับและให้แนวทางการแก่การกระทำแรกๆ เขาได้แยกบทบาทต่างๆออกจากกัน คือ
1. Psychosomatic Role บทบาทเกี่ยวกับความต้องการจำเป็นทางชีวภาพ เป็นบทบาทที่ผู้แสดงๆไม่รู้ตัวแต่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสังคม
2. Psychodramatic Rold บทบาทตามสภาพสังคมบุคคลแสดงบทบาทตามคาดหวังของสภาพสังคมเฉพาะ
3. Social role บทบาทที่ปัจเจกชนปฏิบัติตามความคาดหวังของสังคม เช่น กรรมการ ชาวพุทธ แม่ พ่อ เป็นต้น
สิ่งที่ได้จากแนวคิดนี้ คือการ ได้เค้าโครงสร้างทางสังคมที่ประกอบด้วยบทบาทต่างๆในเนื้อหาไม่ได้อะไรมาก เค้าโครงนี้ทำให้ขยายความคิดเรื่องสังคมที่เป็น ชัดเจนขึ้น
หลังจาก Morenoแล้วไม่นานนัก Linton นักมนุษย์วิทยาก็ได้ขยายลักษณะขององค์การสังคมและบุคคลที่เป็นสมาชิกออกไปอีก โดยพูดถึงบาบาท สถานภาพและบุคคล แยกต่างหากจากกัน
จากข้อความนี้ ทำให้ความสำคัญ ทำให้ความที่สำคัญกระจ่างยิ่งขึ้นมาถึงตอนนี้ โครงสร้างทางสังคมประกอบด้วยหน่วยสำหรับวิเคราะห์หลายประการ
1. ตำแหน่งต่างๆ ชุดหนึ่ง(A Network of Positions)
2. ระบบความคาดหวังที่สอดคล้องกัน
3. แบบแผนของพฤติกรรม ตามความคาดหวังของตำแหน่ง
แม้สิ่งเหล่านี้จะดูเล็กน้อย น่าจะชัดเจนในทฤษฎีแล้วแต่ขยายความ ทฤษฎีSymbolicinteractionism หลายอย่าง คือ
1. ทำให้แนวคามคิดเรื่องสังคมของทฤษฎีนี้กระจ่างขึ้น บอกลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่ง รวมทั้งความคาดหวังที่ติดอยู่ด้วยกัน
2. สามารถแยกสังกัปจิตและอัตตาของ Mead ออกจากโครงสร้างสังคม (Position & Expectations) และพฤติกรรม (บทบาท)
3. เมื่อสามารถแยกกระบวนการถือเอาบทบาท และการเลือกแสดงบทออกจากทั้งโครงสร้างและพฤติกรรมได้แล้ว ก็สามารถจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสังคมได้อย่างชัดเจน เพราะ การแสดงบทบาทเป็นการแสดงตามความคาดหวังของสถานภาพต่างๆ ส่วนตัวบทบาทเป็นรูปแบบของการคาดหวังที่เกิดจากการต่อรองกับอัตตา
Moren Linton จึงทำให้เห็นลักษณะแสดงความสัมพันธ์ระหว่างจิต อัตตา ปละสังคม ชัดเจนขึ้น
ไม่มีความเห็น