ผมตีความตัวเองว่าเป็นคนขี้ระแวง เวลาจะทำอะไร ผมจะตั้งข้อสงสัยว่า มีอะไรบ้างที่จะทำให้งานนั้นล้มเหลว หรือแม้ไม่ล้มเหลว แต่ก็จะเป็นความสำเร็จแบบหลอกๆ
ผมไม่ยอมรับความสำเร็จแบบหลอกๆ แต่ก็ระมัดระวังไม่ไปเที่ยวยุ่งกับเรื่องของคนอื่นเขา มุ่งเอามาตรฐานนี้มาใช้กับงานของตัวเอง ผมจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า ความสำเร็จที่แท้จริงคืออะไร ความสำเร็จหลอกๆ คืออะไร มีปัจจัยใดบ้างที่จะนำไปสู่ความสำเร็จหลอกๆ ผมถือว่าสิ่งเหล่านั้นคือ Key Failure Factors (KFF - ผมตั้งชื่อคำย่อเอง) จะเห็นว่า KFF เป็นเรื่องที่อยู่ลึก ถ้าไม่ระวัง ไม่ตระหนัก เราก็มักนึกไม่ถึงหรือบางครั้ง เรากลับนิยมชมชอบมันด้วยซ้ำ
ผมมองว่า ความสำเร็จแบบหลอกๆ อาจจะดูดีในระยะสั้น แต่จะพาสังคม/หน่วยงาน ลงเหวในระยะยาว เราเห็นมามากในวงการราชการ คนที่เกี่ยวข้องรู้กันดี และบุคลิกแบบไม่ประนีประนอมกับความสำเร็จแบบหลอกๆ นี่แหละที่อยู่เบื้องหลังตัวตนของผมในปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่ามันทำให้ผมไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโตกับเขา และทำให้ผมโดนเรียกตัวไปใช้ในบางงาน คือมันทั้งให้ผลไม่ดีและผลดีแก่ชีวิตผม และมันทำให้ชีวิตผมแนบแน่นอยู่กับความพอเพียง
ในที่ประชุมที่ สกว. (สมัยก่อนตอนผมเป็น ผอ.) หรือที่ สคส. เวลาจะพูดถึงเรื่องที่ต้องระมัดระวัง ผมก็จะบอกว่า ต่อไปนี้ผมจะพูดแบบคนขี้ระแวงนะ หรือพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า พูดแบบ paranoid แล้วยกฉากสถานการณ์ (scenario) ที่เป็นภาพลบ อันเกิดจากการทำงานภายใต้วิธีคิดแบบ KFF ว่าจะมีการกระทำในแนวไหน จะเกิดผลอย่างไร แล้วเอาอีกฉากสถานการณ์หนึ่ง ที่ใช้วิธีคิดแบบ "ของจริง" มาเปรียบเทียบ ให้เห็นว่าจะมีการกระทำในแนวไหน จะเกิดผลอย่างไร ตามปกติการดำเนินการภายใต้แนวคิด "ของจริง" จะยากกว่า หรือไม่ตรงกับวิธีการที่คุ้นเคย แต่เมื่อพูดคุยถกเถียงทำความเข้าใจกันจนชัดเจนแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินกำลัง และทำงานแบบนี้ไปสักระยะหนึ่ง (๑ - ๒ ปี) ก็จะกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร (corporate culture) ที่ผมเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมคุณภาพ
จะเห็นว่า วัฒนธรรมคุณภาพ หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรม KM ก็ได้ เริ่มต้นที่การพิจารณาผลลัพธ์หรือเป้าหมาย ร่วมกันทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าผลลัพธ์ของงานที่เราจะชื่นใจ ภูมิใจ มีคุณค่าสูงส่ง คืออะไร ผมมองว่า นี่คือการกำหนด KV รูปแบบหนึ่ง
วิจารณ์ พานิช
๙ กย. ๔๙