ส่งการบ้านของอาจารย์จันที่เริ่มต้นไว้ จะตอบเท่าที่คิดออกครับ
การเข้าถึงข้อมูลในสื่อออนไลน์ทำให้มีการตรวจสอบข้อมูลที่ผู้ป่วยได้รับมากขึ้น
ปัจจุบัน การค้นหาข้อมูลที่เราอยากรู้ทำได้ง่ายมาก ไม่ต้องออกไปไหน (กรณีอยู่ติดบ้าน) หรือไม่ต้องกลับเข้าบ้านหรือที่ทำงานก่อน (กรณีอยู่นอกบ้านแล้วใช้สมาร์ทโฟน) ก็เข้าสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในสื่อออนไลน์ด้วยตนเองได้ภายในพริบตา
ถ้าผู้ป่วยและครอบครัวได้ข้อมูล คำแนะนำจากแพทย์หรือบุคลากรสุขภาพมาน้อย เพราะเจอหน้ากันเพียงไม่กี่นาที หรือมีข้อสงสัย ต้องการตรวจสอบว่าสิ่งที่ได้มาว่าถูกต้องหรือไม่ ก็สามารถค้นหาเพิ่มเติมหรือเพื่อยืนยันได้อย่างสะดวกสบาย จากสื่อออนไลน์หรืออาจจะรวม hotline สายด่วนขององค์กรต่างๆ
ประเด็นที่ต้องระมัดระวัง คือ ความน่าเชื่อถือของสื่อออนไลน์และ hotline เหล่านั้น ผู้ใช้บริการต้องตรวจสอบก่อนว่า มีผลประโยชน์แอบแฝงทับซ้อน conflict of interest หรือไม่ ถ้าเป็นสื่อของรัฐหรือองค์กรต่าง ๆ ที่ไม่แสวงหาผลกำไร ก็น่าเชื่อถือได้ แต่ถ้าเป็นสื่อที่ได้รับการสนับสนุนการดำเนินงานจากผู้ได้รับผลประโยชน์ทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่่น บริษัทยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ให้สงสัยเอาไว้ก่อน ซึ่งในปัจจุบัน การสนับสนุนก็มีทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย ส่วนสื่อที่มีการโฆษณาขายของที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวโดยตรง ก็ไม่ควรเปิดอ่านเลยด้วยซ้ำ
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือ ข้อมูลที่ได้จากสื่อดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางเดียว หรือเป็นสื่อประเภทตอบปัญหาสุขภาพ ผู้ให้คำแนะนำในสื่อหรือ hotline เหล่านั้น จะได้รับข้อมูลเพียงบางส่วน หรือเป็นชุดข้อมูลจากการรับรู้ของผู้รับบริการเท่านั้น ซึ่งอาจไม่ตรงกับข้อมูลที่แพทย์ผู้รักษาหลักมีทั้งหมดหรือเป็นคนละเรื่องกันเลย ข้อมูลที่ได้จึงเป็นสิ่งที่เสริมจากข้อมูลที่ได้รับจากแพทย์ผู้รักษาหลักเท่านั้น ซึ่งในเว็บไซด์ต่าง ๆ ก็จะมี disclaimer คำเตือนเรื่องนี้เอาไว้ หากมีข้อสงสัยหรือข้อมูลแตกต่างกันมาก ก็ควรสอบถามจากแพทย์ผู้รักษาหลักด้วยการสื่อสารอย่างระมัดระวังอีกที จะดีกว่า
ไม่มีความเห็น