ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ว่า ตอนเป็นเด็กข้าพเจ้ามีโรคภัยไข้เจ็บ ไอออกมาเป็นเลือดแทบทุกวัน คอก็อ่อน เดินไม่ค่อยได้ ได้แต่ไปหาหมอตลอดเวลา จนทำให้พ่อแม่ลำบากเหลือเกิน จนมีคนมาพูดว่า ไม่รอดแน่ โอกาสตายมีเยอะแน่ๆ จนมาถึงวันนี้ มีคนบอกว่า นึกว่าตายแล้ว ทำไมโตขึ้นมาได้ขนาดนี้ล่ะ
ข้าพเจ้าง่วงนอนหน้าลงไปกับกองไฟที่น้ากำลังหุงข้าวในยามเช้าวันหนึ่ง....
ข้าพเจ้าหัวเข่าหัก ตอนเด็ก ตอนตำข้าวกับน้า.....
ข้าพเจ้าตกจากที่เก็บข้าว หัวกระแทกใส่ตอไม้ 2 ครั้ง เกือบตาย....
ข้าพเจ้าเจอน้ำฝ่ายดูดลงที่ทราย 3 ครั้ง เกือบตาย....
ข้าพเจ้าถูกเพื่อนกดจมลงกับน้ำหายใจไม่ได้ เกือบตาย...
ข้าพเจ้าเจอเพื่อนโยนมีดอีโต้มาถูกใส่คอ เกือบตาย....
ข้าพเจ้าถูกรถชน 3 ครั้ง โชคดีที่ยังรอดตาย
ข้าพเจ้าตกจากยอดเจดีย์ 3 ครั้ง โชคดีที่ยังรอดตาย
ข้าพเจ้าถูกระเบิดที่เขาทำขึ้น แรงปะทะ ทำให้เจ็บหนักไม่เบาฯลฯ เป็นต้น
เลยไม่รู้ว่าความตายของข้าพเจ้าจะมาเยือนเมื่อไหร่ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็แค่อย่าประมาทกับชีวิต ดังนั้นคนเราทุกคนอาจประสบพบเจอกับเรื่องราวต่างๆในชีวิต บางทีก็แค่มากล่าวเตือนสติตนเองไว้ เผื่อวันหนึ่งเราได้ตายไปจริงๆ เราก็ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทคือ ตั้งอยู่ในความดีเท่าที่เราทำได้ ก็เพียงพอ
ชีวิตนี้ไม่เที่ยงเหมือนเมฆฤดูใบไม้ร่วง...
เมื่อมองความเกิดดับของสรรพสิ่งก็เหมือนกับมองจังหวะการร่ายรำ...
ชีวิตนี้เสมือนฟ้าแลบในท้องฟ้า...
โถมถั่งเหมือนลำธารไหลจากเขาสูงชัน...
จริงด้วยครับ ต้องไม่ประมาท ตอนเด็กๆผมรับจ้างขึ้นมะพร้าว ฟันทางมะพร้าวไปพาดสายไฟฟ้าแรงสูง
ไฟฟ้าแรงสูงช๊อท แต่ไม่ตายเหมือนกันครับ