จุมพิตพระพักตร์
(เขียนโดย. แซม ฮินน์)
จากการอ่านหนังสือจุมพิตพระพักตร์ทำให้เห็นและเข้าใจถึงการนมัสการพระเจ้า ว่าการนมัสการนั้น
1. เราต้องมีหัวใจที่ถวิลหาพระเจ้าเพราะพระเจ้าเท่านั้นที่ทำให้เราอิ่ม เราควรมีใจปรารถนาเหมือนดาวิด คือ 1.ปรารถนาการทรงสถิตของพระเจ้า 2.ปรารถนาที่จะอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า 3.ปรารถนาที่จะพินิจพิจารณาอยู่ในพระวิหารของพระเจ้า สิ่งต่างไม่ว่าจะเป็น อำนาจ ความมั่งคั่ง ความสูงเด่น และทรัพย์สินเงินทอง ไม่สามารถเติมเต็มให้เราได้ เราไม่ควรที่จะเข้าเฝ้าหรือนมัสการด้วยเหตุผลอื่นเลยนอกจากอยากอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า
2. ได้รู้เท่าทันว่าสิ่งใดคืออุปสรรคในการนมัสการ และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำในสิ่งที่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า เพราะมันคือกับดักของมารที่วางไว้ คือ ความเย่อหยิ่ง ,ความเอาแต่ใจตนเอง , ธรรมเนียมปฏิบัติ , การเป็นคนชอบตัดสินผู้อื่น , ชอบวิจารณ์ , การไม่รู้ ,วิญญาณศาสนา , การไม่ให้อภัย , การบ่น , การนินทา ฉะนั้นเราต้องพยายามออกจากกับดักนี้ให้ได้โดย การอธิษฐานขอการช่วยกู้จากพระเจ้าจากกับดักของมาร
3. การนมัสการที่แท้นั้นเราต้องแสดงความรักและใช้เวลาอยู่กับพระองค์ เพราะพระเจ้าไม่ได้แสวงหาการนมัสการของเราแต่แสวงหาเราผู้เชื่อ(ผู้นมัสการที่แท้) พระเจ้าปรารถนาการนมัสการแบบหมดหัวใจ พระองค์ไม่ต้องการเพียงให้เราร้องเพลงให้พระองค์ฟังหรือรูปแบบที่เราจัดขึ้นเอง แต่ทรงประสงค์ให้เรามอบดวงใจของเราแด่พระองค์เป็นการนมัสการ เพราะการนมัสการเป็นพาหนะนำเราสู่การทรงสถิตของพระเจ้า ฉะนั้นเราต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ตาม ยอห์น.4:23) พระเจ้าทรงเกลียดชังคนหน้าซื่อใจคด คือ การนมัสการแบบเสแสร้ง
4. การนมัสการจะทำให้เราได้น้ำธำรงชีวิตจากพระเจ้าซึ่งเราจะไม่กระหายอีกเลย ถ้าเรานมัสการอย่างถูกต้องคือด้วยจิตวิญญาณและความจริง จะเป็นน้ำพุพลุ่งในตัวของเราพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์ (ยน.4:14) ซึ่งเราจะต้องดื่มน้ำที่พระเจ้าทรงหยิบยื่นให้ เพื่อเราจะได้อิ่มใจอย่างแท้จริง และพระเจ้าทรงเข้าหาแต่ละบุคคลในฐานะปัจเจกบุคคลที่ไม่มีใครเหมือนซึ่งคูควรกับเวลาและความสนใจของพระองค์ การนัมสการนั้นเราต้องมีท่าที แบบในพระคัมภีร์เดิม ในภาษาฮีบรู shachah มีความหมายเป็นการแสดงออกถึงการหมอบลงต่ำด้วยความจงรักภักดี ในพระคัมภีร์ใหม่ proskuneo หมายถึง การจูบ คือ คุกเข่าแทบเท้าพระเจ้าและโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อแสดงความเทิดทูนบูชา ฉะนั้นเราต้องมีหัวใจทั้งสองอย่างนี้เทิดทูนและแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าในที่สูงสุด ถึงได้เป็นการเรียกว่าจุมพิตพระพักตร์พระเจ้า การนมัสการที่แท้จริงจะขจัดความเหินห่างระหว่างเรากับพระเจ้า ฉะนั้นเพื่อจุมพิตพระพักตร์พระเจ้าเรา ต้องบังเกิดใหม่ด้วยน้ำและพระวิญญาณบริสุทธิ์ กลับใจใหม่ให้แม่น้ำซึ่งมีน้ำธำรงชีวิตไหลออกจากตัวเรา ไม่จดจ่อกับสถานนมัสการที่เราไป แต่ ให้จับสายตาจดจ่อกับผู้ที่เราไปนมัสการคือ พระเจ้า พระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงเพราะผู้ที่นมัสการที่แท้เกี่ยวกับพระเจ้าจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจากภายในสู่ภายนอก สุดท้ายให้ยึดพระเจ้าไว้ให้มั่นอย่าปล่อยพระองค์ไปเพราะไม่มีใครเติมเต็มให้กับเราได้นอกจากพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น
4. เรียนรู้ที่จะนิ่งและฟังเสียงตรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า (สดด.46:10) ให้อธิษฐานในความเงียบสงบ ใช้เวลาพูดคุยกับพระเจ้า อย่าได้คุ้นเคยกับสิ่งที่มารพูด แต่ให้คุ้นเคยกับเสียงที่พระเจ้าพูด พูดคุยต่อหน้าพระเจ้าโดยการเฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้าทุกวัน เหมือนอย่างที่ดาวิดทำ และเราควรเอาดาวิดเป็นแบบอย่างด้วย ให้ชีวิตเราเป็นชีวิตที่อธิษฐานซึ่งเราสามารถจุมพิตพระพักตร์พระเจ้าได้ในขณะที่เราอธิษฐาน หมอบกราบแทบพระบาทพระองค์ มีใจจดจ่ออยู่กับพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น
5. พระเจ้าจะทรงเทพระสิริเพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพระสิรินั้นแสดงถึงมาตรฐานของพระเจ้าในเรื่องความบริสุทธิ์และความสัตย์สุจริตในศีลธรรม เมื่อเราถูกปกคลุมด้วยพระสิริ เราก็จะกลายเป็น “เมฆแห่งพระสิริ” ซึ่งผู้อื่นจะเห็นและรับรู้ถึงฤทธิ์เดชแห่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ในเรา เมื่อพระสิริปกคลุมเรา เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงก็จะมาถึง อันเกิดจากการนมัสการที่แท้จริง ฉะนั้นให้เรารักพระองค์ กลับสู่ความรักดั้งเดิมของพระเจ้า บางคนไล่ล่ารางวัลของขวัญจากพระเจ้า นั่นจะทำให้เราหลงทางแทนที่จะไล่ล่าการ ทรงสถิตจากพระเจ้า
6. ให้ทุกสิ่งถูกควรกับพระเจ้า เพื่อจะได้บังเกิดใหม่อีกครั้ง เพื่อชีวิตจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยการอยู่กับพระองค์ พระเจ้าต้องการให้เราเข้าไปหาและอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ พระเจ้าทรงสัญญาว่า เมื่อเราสนิทสนมกับพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง พระองค์ก็จะเสด็จมา ฉะนั้นให้เรารู้จักและพยายามที่จะรู้จักพระเจ้า โดยพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ การอธิษฐาน การดำเนินกับพระเจ้า ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ถูกต้อง ที่สำคัญเราข้องขอในสิ่งที่เราปรารถนาที่จะมี หาในสิ่งที่อาจมองไม่เห็นและเคาะ กระทั่งสิ่งกีดขวางทุกอย่างพ้นไปจากทางของเรา
7. สิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อเรามีประสบการณ์กับพระเจ้า เราต้องมีหัวใจที่จะบอกกับผู้อื่นถึงเรื่องของพระเยซูและความรักของพระเจ้า ให้มีหัวใจของพระองค์สำหรับผู้ที่หลงหาย พระเจ้าไม่ประสงค์ให้เราอยู่แต่ห้องชั้นบน คือเอาแต่อธิษฐาน แต่เราควรออกไปเพื่อประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ถ้าเราไม่ออกไปและเก็บเกี่ยวแล้ว ห้องชั้นบนก็เป็นสิ่งที่สูญเปล่า ให้ลุกขึ้นไปเป็นพยาน เราจะได้รับการทรงสถิตและการเจิมอันยิ่งใหญ่ เมื่อเราได้นำคนมารู้จักพระเยซู เพราะพระเจ้าปรารถนาให้ทุกคนได้รับความรอด ถ้าเราเพิกเฉยต่อพระมหาบัญชา เราอาจได้ขึ้นสวรรค์แต่เราจะไม่ได้บำเหน็จใหญ่
สรุปแล้วคนทุกคนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อนมัสการพระเจ้า การนมัสการที่แท้เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อชีวิตว่างเปล่าของเราได้รับการเติมเต็มโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ซึ่งการนมัสการเท็จนั้นล้วนเกี่ยวกับการดูดีและรู้สึกดี แต่การนมัสการเท็จไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจได้ พระเจ้าเป็นความสว่างพระองค์ไม่ใช่แสงหนึ่งแต่เป็นแหล่งกำเนิดของความสว่างซึ่งในพระองค์ความมืดไม่มีเลย พระเจ้าทรงรอคอยการนมัสการที่ไหลออกมาจากหัวใจส่วนลึกของเรา ซึ่งจะต้องเป็นมากกว่าการแสดงที่ภายนอก การนมัสการที่แท้จริงนั้นจะนำการเยียวยารักษามา และทุกคนที่เข้ามาหาพระเยซูก็จะได้รับการสร้างใหม่อย่างสมบูรณ์ เช่น คนโรคเรื้อนนมัสการพระองค์แลได้รับการรักษาให้หายสะอาด (มธ.8:2)
ฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องนมัสการและอธิษฐาน เพราะพระเจ้าต้องการต้อนรับเราเข้าสู่การทรงสถิต พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์ออกมาและประสงค์ให้เราตอบสนอง พระองค์ต้องการเต้นรำกับเรา พระเจ้าโน้มมาข้างหน้าเพื่อจะจุมพิต ให้เราตอบสนองโดยจุมพิตพระพักตร์และขอการอภัยจากพระองค์ เพื่อชีวิตเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้สมกับที่เราเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์.
วิจารณ์โดย กรองแก้ว คลังปัญญาทรัพย์
******************************
ผมมีทฤษฎีว่าศาสนาคริสต์กับศาสนาพุทธสอนเรื่องเดียวกันครับ เพียงแต่ใช้คำที่แตกต่างกันเท่านั้นเองครับ อย่างที่คุณกรองแก้วเขียนนี่ ถ้าแปลงคำไปใช้คำของพุทธก็คือคำสอนของพุทธดีๆ นี่เองครับ
ศาสนาพุทธสอนให้คนอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าอย่างสอดคล้องกับพระประสงค์ของประองค์และไม่หลงไปกับการล่อลวงของมาร มีเพียงศัพท์ที่แตกต่างกันครับ
ผมว่าสองศาสนานี้เหมือนกันประมาณ 95% แต่ส่วนต่าง 5% นั้นที่ทำให้คนเห็นว่าต่างกันครับ แล้วการปฎิบัติใน 5% นั้นก็ไม่น้อยเสียด้วย อย่างในประเทศไทยเราจะเห็นเป็นธุรกิจใหญ่ทีเดียว (พระเครื่อง ขอหวย ให้พร สะเดาะเคราะห์ ดูดวง ฯลฯ) อืมม.... เอาเข้าจริง 5% นี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของศาสนาแต่เป็นของแอบแฝงอยู่ในศาสนาครับ
จริงๆแล้วมีความแตกต่างมากอยู่นะครับคุณธวัชชัย แน่นอนว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือ การรอดจากความบาปด้วยการปฎิบัติตัวตามศีล กับรอดโดยอาศัยความเชื่อในพระคุณของพระเจ้าครับ
ผมกลับมองว่าศาสนาคริสต์เองก็สอนเรื่อง "ศีล" (หรือหลักปฎิบัติตน) เช่นเดียวกันครับ การมีสติไม่ตกอยู่ใน "7 deadly sins" นั้นเป็นศีลที่ดีมากทีเดียวครับ ส่วนศาสนาพุทธบอกว่าไม่มีพระเจ้า แต่สอนให้เชื่อมั่นใน "พระธรรม" ครับ
ถนนทุกสายมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกันครับ เป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ