ชุมชนชายแดนท้องถิ่น(ไทย)จะปรับตัวอย่างไรเมื่ออาเซียนขยับตัวเข้ามาใกล้


เราอย่าลืมว่า ชุมชน จะพัฒนาได้อย่างไรถ้าเรารู้จักความจริงในหมู่บ้านเพียงครึ่งเดียว ขณะที่อาเซียนที่จะขยับเข้ามานั้นเป็นเพียงการตื่นรู้ของการเป็นอยู่ในอดีตที่ชุมชนแค่ปรับฐานคิดการฉกฉวยโอกาสของการสร้างสรรค์พันธนาการร่วมทางสังคม โดยเฉพาะความเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เพื่อโอกาสและอนาคตของลูกหลานชุมชนชายแดนท้องถิ่น(ไทย) ที่หลายฝ่ายยังคงมองข้ามและคลำหาทิศทางในการรองรับประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 ที่จะมาเยือนเร็วๆนี้...

ชุมชนชายแดนท้องถิ่น(ไทย)จะปรับตัวอย่างไรเมื่ออาเซียนขยับตัวเข้ามาใกล้[1]
                                                                                         ฟูอ๊าด (สุรชัย)   ไวยวรรณจิตร[2]
                   อาเซียนหรือสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นองค์กรความร่วมมือระดับภูมิภาคมีความคล้ายคลึงกันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งอาจจำแนกออกได้คร่าวๆ เป็นประเทศหมู่เกาะกับประเทศบนผืนแผ่นดินใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยที่ประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศมีความหลากหลายด้านสังคมวัฒนธรรมภายในแต่ละประเทศเองซึ่งเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศสมาชิกอาเซียนมีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีขนาดใหญ่อย่างสาธารณรัฐอินโดนีเซียสหภาพพม่าการเปรียบเทียบประเทศสมาชิกอาเซียนในเชิงระดับพัฒนาการทางเศรษฐกิจจากมุมมองด้านรายได้จากข้อมูลของ World Bank (2003) สะท้อนให้เห็นว่าระดับพัฒนาการทางเศรษฐกิจในอาเซียนนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับคือ 1) ประเทศที่มีรายได้ต่ำได้แก่ประเทศกัมพูชาลาวพม่าและเวียดนาม 2) ประเทศที่มีรายได้ปานกลางได้แก่ฟิลิปปินส์มาเลเซีย อินโดนีเซียและไทยและ3) ประเทศที่มีรายได้สูงได้แก่สิงคโปร์ประเทศไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนซึ่งได้ร่วมก่อตั้งสมาคมอาเซียน หรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations–ASEAN) โดยปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมพ.ศ. 2510
                การเปิดพื้นที่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 เป็นการสร้างกระแสตื่นตัวให้แก่หลายประเทศในการเปิดเสรีด้าน เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรมและการศึกษาซึ่งเป็นความท้าทายต่อการเร่งรัดพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับการแปรเปลี่ยนของกระแสสังคมโลก เพราะฉะนั้นการที่จะพัฒนาชุมชนท้องถิ่นจะต้องเริ่มจากฐานวัฒนธรรมชุมชนซึ่งเป็นปราการที่แข็งแกร่งที่สุดของชาวบ้าน เป็นพลังผลักดันการพัฒนาชุมชนที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนสร้างขึ้นมาเอง และในแง่วิธีการพัฒนา จะต้องทำให้ชาวบ้านมีจิตสำนึกที่แจ่มชัดในวัฒนธรรมของเขา ปัญญาชนของชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านตื่นและรับรู้ รู้เอกลักษณ์และคุณค่าของตัวเอง ค้นพบจิตสำนึกอิสระของชุมชน เห็นคุณค่าของการรวมตัวเป็นชุมชน และซาบซึ้งในประวัติการต่อสู้ร่วมกันตลอดมา เห็นภัยของการครอบงำของวัฒนธรรมแปลกปลอมจากภายนอกเพื่อการก้าวทันและผลักดันชุมชนท้องถิ่นอย่างมีทิศทาง
                    จากการที่กระแสวัฒนธรรมที่มีรากฐานอยู่ที่ทุนนิยมตะวันตกได้แพร่ขยายไปทั่วโลก ส่งผลกระทบในการเข้าไปมีอิทธิพลครอบงำหรือเผชิญหน้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นต่าง ๆ และกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกาภิวัฒน์ก็ถาโถมเข้ามาทำลายประวัติศาสตร์  ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม  ค่านิยมและความเชื่อที่ยึดถือกันมานาน  ความเปลี่ยนแปลงนี้จะเปิดประตูให้อนาคตบุกรุกเข้ามาในชีวิต  จึงเป็นเรื่องยากที่จะจับทิศทางของการเปลี่ยนแปลงด้านวิถีชีวิตและวัฒนธรรมว่าจะไปทางไหน  เพราะอัตราเร่งของการเปลี่ยนแปลงมีพลังมากพอที่จะเคลื่อนไหวว่าทิศทางของวัฒนธรรมจะไปทางใด  นอกจากนี้การเผชิญหน้ากับโลกาภิวัฒน์จึงจำเป็นต้องใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์มากกว่าความถูกต้องของหลักวิชาหรือทฤษฎีต่าง ๆ และวัฒนธรรมการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดนิ่ง
                แต่ก่อนที่มันจะพัฒนาการไปสู่ความเจริญและความเสื่อม สังคมเปิดกว้างมักจะอยู่รอดด้วยการเรียนรู้ และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง  เกิดความคิด ความเชื่อ ความซับซ้อน ความขัดแย้ง ทั้งหมดจะเชื่อมโยงเข้ากับวิถีชีวิต ในขณะที่เทคโนโลยีก็ได้แสดงศักยภาพในการสื่อสารที่บ่งบอกถึงความทันสมัย  ความสะดวกรวดเร็ว  จากที่กล่าวมาทำให้เห็นว่าภาพของพื้นที่ตามแนวชายแดนอาจจะต้องสูญเสียวัฒนธรรมดั้งเดิมไปและเริ่มสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาเพื่อการขยายโอกาสในการสร้างสรรค์สู่การรองรับประชาคมอาเซียนให้แก่ชุมชนท้องถิ่นได้เกิดการรับและเรียนรู้

                ดังนั้น “การศึกษาและพัฒนากระบวนการปรับตัวของชุมชนชายแดนท้องถิ่นสู่การรองรับประชาคมอาเซียน : กรณีศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้”[3] ดังปรากฏเป็นกรอบแนวคิดด้านบน  จึงเป็นสิ่งชี้ชวนให้ได้ขบคิดว่าพลังชุมชนจะเป็นกลไกสำคัญในการขยับปรับตัวอย่างมีทิศทางของความน่าจะเป็นในการรองรับประชาคมอาเซียนที่จะเข้ามาได้อย่างไรในกระบวนการที่ชวนติดตามของการค้นหาคำตอบกันต่อไป

ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี กล่าวว่า[4] ปัจจัยที่สำคัญมากต่อการนำชุมชนไปสู่ชีวิตสาธารณะที่มีสุขภาพดีหรือไม่ดีก็คือกรอบแนวคิดโดยเฉพาะกรอบแนวคิดในการแก้ปัญหาและการมองความเป็นไปของสรรพสิ่ง วอนกรีสแฮม เรียกกรอบแนวคิดนี้ว่า “หลักนำการปฏิบัติ” (guiding principles) ในชุมชนที่อุดมด้วยชีวิตสาธารณะนั้นเป็นกรอบแนวคิดที่เน้นการมีส่วนร่วมของภาคสาธารณะและการทำงานเพื่อส่วนรวมและจอห์น แมคไนท์ ผู้ศึกษาองค์กรชุมชนอธิบายว่า หลักนำการปฏิบัติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคือ “จงถือว่ามนุษย์ทุกคนคือ ทรัพยากรที่ล้ำค่า” เป็นหลักนำที่มองชุมชนในฐานะองค์รวมของศักยภาพของปัจเจกบุคคลในชุมชนและมีความสำคัญต่อการเสริมสร้างความเข้มแข็งของประชาคมเพราะเมื่อชุมชนให้ความสำคัญต่อศักยภาพของคนในชุมชนชุมชนนั้นย่อมตระหนักถึงความเป็นไปได้ของการริเริ่มดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในเรื่องแนวคิดต่อพลังในชุมชน ชุมชนที่มีชีวิตสาธารณะที่ดีจะมีกรอบแนวคิดว่าพลังที่แท้จริง เป็นพลังที่มาจาก ประชาชน “ประชาชนในท้องถิ่นเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขปัญหาในท้องถิ่น”

            และวิถีทางเดียว ที่จะทำให้ชุมชนเป็นชุมชนที่น่าอยู่ก็คือ ประชาชนในชุมชน ต้องเข้าใจและยอมรับความรับผิดชอบของตนต่อทุกๆเรื่อง ที่เกิดขึ้นกับชุมชน ไม่ปฏิเสธหรือยกเว้นแม้กระทั่งเรื่องของอาเซียนที่จะขยับเข้ามาปะทะการดำเนินชีวิตอย่างหลีกหนีไม่พ้น

            เพราะฉะนั้น การที่จะพัฒนาชุมชนท้องถิ่นจะต้องเริ่มจากฐานวัฒนธรรมชุมชนซึ่งเป็นปราการที่แข็งแกร่ง ที่สุดของชาวบ้าน เป็นพลังผลักดันการพัฒนาชุมชนที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนสร้างขึ้นมาเอง และในแง่วิธีการพัฒนา จะต้องทำให้ชาวบ้านมีจิตสำนึกที่แจ่มชัดในวัฒนธรรมของเขา ปัญญาชนของชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านตื่นและรับรู้ รู้เอกลักษณ์และคุณค่าของตัวเอง ค้นพบจิตสำนึกอิสระของชุมชน เห็นคุณค่าของการรวมตัวเป็นชุมชน และซาบซึ้งในประวัติการต่อสู้ร่วมกันตลอดมา

            เราอย่าลืมว่า ชุมชน จะพัฒนาได้อย่างไรถ้าเรารู้จักความจริงในหมู่บ้านเพียงครึ่งเดียว ขณะที่อาเซียนที่จะขยับเข้ามานั้นเป็นเพียงการตื่นรู้ของการเป็นอยู่ในอดีตที่ชุมชนแค่ปรับฐานคิดการฉกฉวยโอกาสของการสร้างสรรค์พันธนาการร่วมทางสังคม โดยเฉพาะความเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เพื่อโอกาสและอนาคตของลูกหลานชุมชนชายแดนท้องถิ่น(ไทย) ที่หลายฝ่ายยังคงมองข้ามและคลำหาทิศทางในการรองรับประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 ที่จะมาเยือนเร็วๆนี้...



[1]บทความนี้เป็นเพียงบทความสะท้อนมุมคิดส่วนตัวของผู้เขียน

[2]อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา / ผู้บริหาร ร.ร.เร๊าะห์มานีย๊ะห์ อ.จะนะ จ.สงขลา

[3]โครงการวิจัยของผู้เขียน ภายใต้ความร่วมมือทุนสนับสนุนการวิจัยประจำปี 25562556 จาก สสค.(อยู่ระหว่างดำเนินการ)

[4]ประเวศ  วะสี.  (2556).  กรอบแนวคิดหรือโลกทรรศน์ของคนในชุมชน (ออนไลน์). สืบค้นจากhttp://www.wutthi.com/forum/index.php?=3e023741677a49f4c9d6047ff979baa9&topic=1296.msg2721. [เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2556].


หมายเลขบันทึก: 519067เขียนเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2013 14:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2013 14:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท