การนมัสการที่นำมาซึ่งการอวยพร
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อนมัสการพระเจ้า นมัสการ WORSHIP
“ในภาษาเดิมคำว่า นมัสการ และคำว่ากราบ มาจากคำเดียวกัน เช่น การคนที่มีฐานะต่ำกว่าคุกเข่าลง
แสดงความเคารพต่อผู้ที่มีฐานะสูงกว่า (ปฐก.18:2 ; 33:3) การที่มนุษย์นมัสการพะรเจ้าเป็นทำนองเดียว
กัน มนุษย์ถ่อมลงเฉพาะพระพักตร์พระผู้สูงสุด ถ่อมลงในฐานะผู้รับใช้ ถวายเกียรติยศ ยำเกรงและถวาย
ความรักต่อพระองค์(ปฐก.24:26-27, อพย.4:34) เป็นการยอมจำนนเยี่ยงคนใช้ต่อพระองค์ ผู้ปกครอง”[1]
1. ประวัติความเป็นมาของการนมัสการ
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นเพื่อให้มานมัสการพระองค์ตามพระธรรม ปฐก. 1:27
กล่าวว่า พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง และในพะธรรม นหม. 9:6ก็กล่าวว่า “พระองค์คือพระเยโฮวาห์ พระองค์องค์เดียว พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ ฟ้าสวรรค์อันสูงสุดพร้อมกับบริวารทั้งสิ้นของฟ้าสวรรค์นั้น แผ่นดินโลกและบรรดาสิ่งที่อยู่ในนั้น ทะเลและบรรดาสิ่งที่อยู่ในนั้น และพระองค์ทรงรักษาสิ่งทั้งปวงเหล่านั้นไว้ และบริวารของฟ้าสวรรค์ได้นมัสการพระองค์”
ดอน เฟลมมิ่ง ได้พูดถึงการนมัสการในสมัยพระคัมภีร์เดิมว่า
“ชาวอิสราเอลแสดงการนมัสการโดยหลายวิธี เช่น พิธีในเทศกาลต่างๆ และการถวายบูชา(1ซมอ.1:3; สดด.132:7) แต่พิธีกรรมจะไม่มีความหมายเลยถ้าคนนั้นไม่ได้นมัสการพระเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์(สดด.50:7-15) แบบฉบับของพิธีนมัสการตั้งขึ้นครั้งแรกเกี่ยวกับพลับพลา ต่อมาก็ใช้วิหาร และต่อมาก็ใช้ธรรมศาลา”[2]
2. ความหมายของการนมัสการ
จากคู่มือการสอนวิชา การนำนมัสการ โดย ศจ.บุญชาน อิทธิเวชช์ ได้ให้ความหมายของการ
ไว้ดังนี้
“การนมัสการ คือ การเห็นคุณค่า และยอมรับความมีคุณค่าของพระเจ้า ในจิตใจของเรา ซึ่งแสดงออก
โดย คำสรรเสริญยกย่อง คำโมทนาขอบพระคุณ การแสดงความเคารพเทิดทูนบูชา ที่สอดคล้องกับ
ความรู้สึกในจิตใจ และการกระทำต่างๆภายนอก ที่เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระองค์”[3]
มีหนังอีกเล่มที่พูดถึงการนมัสการ คือหนังสือ ชีวิตสาวก รากฐานชีวิตคริสเตียน และ อุปนิสัยคริสเตียน เขียนโดย ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า
“นมัสการ คือ พิธีการที่เราแสดงออกถึงการเคารพรักและเทิดทูนบูชาพระเจ้าอย่างสูงสุด ซึ่งโดยปกติสาวกของพระเยซูจะร่วมกระทำกันที่คริสตจักรทุกวันอาทิตย์ สิ่งที่ทำร่วมกันนั้นก็คือ
- ร่วมฟังคำสอนและคำเทศนาจากพระคัมภีร์จากผู้รับใช้พระเจ้า
- ร่วมสามัคคีธรรมกัน หมายถึงการมีความสัมพันธ์กันในหมู่พี่น้องคริสเตียน
- การหักขนมปัง(หมายถึงพิธีมหาสนิทที่คริสตจักรทำเพื่อร่วมกันระลึกถึงการที่พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปเรา)
- อธิษฐานร่วมกัน
- ร่วมกันถวายทรัพย์เพื่อใช้ในงานของพระเจ้า
- ร่วมกันไปนมัสการที่พระวิหาร และมีการร่วมสามัคคีธรรมที่บ้านของกัน และกันด้วย
- รับประทานอาหารร่วมกัน
- สรรเสริญพระเจ้าร่วมกัน
การนมัสการเป็นสิ่งที่จำเป็นที่คริสเตียนทุกคนควรเข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ เพราะจะช่วย
ให้เราติดสนิทกับพระเจ้าอยู่เสมอ และจะทำให้เราเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณด้วย เราจึงไม่ควรขาดการนมัสการ”[4]
3. การนมัสการที่พระเจ้าไม่อวยพร
ทุกคนไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นคริสเตียนก็ มักต้องการได้รับการอวยพรที่จับต้องได้ ที่เห็นเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะคริสเตียนเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ต้องการได้รับการอวยพรจากพระเจ้ากันแทบทั้งสิ้น ถ้าผู้ที่นมัสการไม่เข้าใจถึงการนมัสการ ก็จะ ไม่ได้รับอวยพรจากพระเจ้าซึ่งผู้นมัสการเองจะต้องรู้ด้วยว่าอะไรคือ อุปสรรคและกับดักของการนมัสการ พระเจ้าที่พระเจ้าไม่อวยพร
จากการอ่านหนังสือ จุมพิตพระพักตร์ เขียนโดย แซม ฮินน์ ได้สรุปในส่วนของอุปสรรคและ
กับดัก ขงการนมัสการได้ 10 ประการ ดังนี้
3.1 กับดักของความเย่อหยิ่ง ความเย่อหยิ่งเป็นกับดักก้อนใหญ่ที่สุดของการนมัสการคู่แฝดที่น่าชังของความเย่อหยิ่งคือ ความเอาแต่ใจ ตัวอย่างจาก นาดับและอาบีฮู รู้กฎของการนมัสการเป็นอย่างดี เขารู้พระบัญชาในเรื่องการนมัสการอย่างถูกต้องสมควร แต่ก็ยังไม่เชื่อฟัง ผลลัพธ์ก็คือ ความตาย ไม่มีผู้ใดสามารถนมัสการพระเจ้าแบบตามใจชอบได้ เราต้องเข้าหาพระเจ้าตามแบบของพระองค์ไม่ใช่ตามแบบของเรา
3.2 กับดักของธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะธรรมเนียมปฏิบัติทำให้การนมัสการแท้อ่อนด้อยลงและหยุดยั้งความเชื่อของเราในพระเจ้า เป็นการถือรักษารูปแบบ กฎเกณฑ์ ระบบซึ่งมนุษย์เป็นผู้สอน อันทำให้พระคำของพระเจ้าเป็นโมฆะ
3.3 กับดักของการตัดสิน คนที่ยึดธรรมเนียมปฏิบัติ จะไวในการตัดสินและกล่าวโทษพวกที่ถือธรรมเนียมปฏิบัติแบบอื่นที่ไม่เหมือนตัวเอง พวกเขาจะเริ่มต้นด้วยการนมัสการจากใจแต่ไม่นานจะจบลงด้วยการนมัสการของเขาเองและไม่ได้นมัสการพระเจ้า
3.4 กับดักของวิญญาณแห่งการวิจารณ์ เป็นวิญญาณที่ชอบจับผิดทุกสิ่งและทุกคน เพราะกับดักของวิญญาณแห่งการวิจารณ์จะทำให้เขาไม่เป็นผู้ที่นมัสการแท้ เมื่อเราตัดสิน กล่าวโทษ และวิจารณ์ผู้อื่น เราได้สร้างกำแพงที่จะแยกเราจากการทรงสถิตของพระเจ้า
3.5 กับดักของการไม่รู้ มีวิธีนมัสการที่ถูกและผิด คนฮีบรูโบราณถือว่า ความรู้ คือ ทางเข้าซึ่งคล่องตัวและไม่หยุดนิ่งสู่ความสัมพันธ์ที่สนิทลึกซึ้ง การรู้จักพระเจ้า คือการเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่สนิทลึกซึ้งกับพระองค์ ถ้าเราไม่รู้เราอาจเผลอนมัสการพระเทียมเท็จต่างๆซึ่งในอดีตล้วนแล้วก็เคยทำมาด้วยกันทั้งสิ้น
3.6 กับดักของวิญญาณศาสนา บุคคลที่มีวิญญาณศาสนาคือ ผู้ซึ่งปฏิเสธที่จะมีความบริบูรณ์ของพระเจ้าในชีวิตของเขา เขาต้องการควบคุมพระเจ้า แทนที่จะยอมรับการควบคุมทั้งสิ้นไว้กับพระเจ้า การนมัสการที่แท้จริงจะปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากการผูกมัดของความเชื่อที่บิดเบือน และระบบศาสนาจอมปลอม เมื่อเรานมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงเท่านั้น ที่วิญญาณจิตของเราจะหลุดจากการเป็นทาส และเหินสู่การทรงสถิตของพระเจ้า
3.7 กับดักของการไม่ให้อภัย การเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่ยอมให้อภัยคนบางคน จะขัดขวางการนมัสการพระเจ้า หากเราเข้าสู่การทรงสถิตของพระเจ้า การอภัยเป็นสิ่งที่ต้องมี การอภัยเป็นข้อบังคับพระเจ้าจะไม่ทรงอภัยเรา หากเราไม่ยอมอภัยความขุ่นเคืองที่ผู้อื่นทำต่อเรา เมื่อเรามีวิญญาณแห่งการอภัย เราก็สำแดงอย่างแท้จริงว่า เราคือผู้ติดตามพระเยซูคริสต์
3.8 กับดักของการบ่น การบ่นเป็นการแสดงความสงสัยและไม่ไว้ใจขึ้นระหว่างเรากับการทรงสถิตของพระเจ้า การบ่นเป็นการจดจ่ออยู่กับปัญหาหรือบุคคลอื่นเสมอ แทนที่จะเป็นพระเยซู พระเจ้าต้องการให้เราละสายตาจากปัญหาหรือผู้คนเสีย และให้จับจ้องที่พระเยซู หยุดบ่นและเริ่มนมัสการ เพราะเมื่อจดจ่ออยู่กับการนมัสการก็จะไม่บ่นอีกต่อไป
3.9 กับดักของการนินทา การนินทาไม่เพียงทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด แต่มันยังหันเหหัวใจคนนั้นออกจากการนมัสการที่แท้ด้วย ในท่ามกลางบรรยากาศที่ควรจะนมัสการพระเจ้า พวกที่ติดกับของการนินทากลับมัวคิดถึงแต่เรื่องที่ได้ยินมา แทนที่จะคิดถึงสิ่งที่พระเจ้าเพิ่งตรัส ปากของผู้นินทานั้นเต็มด้วยคำโกหก หลอกลวงและมุ่งร้าย ปากที่นินทาไม่อาจจุมพิตพระพักตร์ได้[5]
จากที่สรุปมาจากหนังสือ จุมพิตพระพักตร์ โดย แซม ฮินน์ จะเห็นได้ว่า สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า พระเจ้าทรงต้องการให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์ ให้เรานมัสการด้วยชีวิตจิตวิญญาณ การกระทำที่ดีงาม เมื่อเรามีลักษณะตามที่กล่าวมานี้พระเจ้าก็ไม่สามารถที่จะอวยพรแก่เราได้
4. การนมัสการที่นำมาซึ่งการอวยพร
การนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัยจะนำซึ่งการเปลี่ยนแปลงได้รับการอวยพรจากพระเจ้าในพระธรรม ยน. 4:24 กล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
ในหนังสือ การนมัสการเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เขียนโดย จอห์น แม็คอาเธอร์ จูเนียร์ ได้พูดพูการนมัสการด้วยจิตวิญญาณ และความจริง ซึ่งสรุปออกมาได้ดังนี้
4.1 การนมัสการด้วยจิตวิญญาณ หมายถึง จิตวิญญาณมนุษย์ภายในบุคคล การนมัสการเป็นการหลั่งไหลจากภายในออกมา ไม้ใช่ว่าเป็นการอยู่ถูกสถานที่ ถูกเวลา ถูกวาจา ถูกความประพฤติ ถูกในการแต่งกาย ดนตรีถูกต้อง และอารมณ์ถูกต้อง การนมัสการไม้ใช่การกระทำภายนอกที่สภาพแวดล้อมจะถูกสร้างขึ้น แต่มันเกิดขึ้นภายใน นั่นคือ จิตวิญญาณ เราสามารถนมัสการด้วยจิตวิญญาณได้ดังนี้
- ก่อนอื่นเราต้องยอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก่อนที่เราจะนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะต้องอยู่ที่นั่นก่อนที่จะเกิดการนมัสการที่แท้จริง ถ้าเราไม่มีวิญญาณของพระเจ้ากระตุ้นหัวใจของเรา เร้าใจเราชำระหัวใจของเรา สอนเรา เราก็ไม่อาจนมัสการพระเจ้าได้ รากฐานการนมัสการที่แท้จริงคือ การช่วยให้รอด บุคคลที่ไม่ได้ถูกช่วยให้รอด ไม่อาจนมัสการได้อย่างแท้จริง และบุคคลที่ถูกช่วยให้รอดอย่างแท้จริงจะถูกกระตุ้นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ภายในให้เกิดการนมัสการ
- ความนึกคิดของเราต้องมุ่งอยู่ที่พระเจ้า การนมัสการเป็นการเปี่ยมล้นด้วยจิตใจที่สดใหม่ ด้วยความจริงของพระเจ้า เรียกว่าการใคร่ครวญ หัวใจของการใคร่ครวญคือ การค้นพบ การค้นพบถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งจากความจริงของพระเจ้า และการค้นพบก็มาจากการใช้เวลากับพระองค์ด้วยการอธิษฐานและจากพระคำของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะสอนความจริงแก่เราจากพระคำที่เราศึกษาและมีสมาธิศึกษาด้วยการอธิษฐาน
- ต้องมีความสำนึกในความผิดบาป บาปทั้งหมดต้องถูกจัดการให้หมด เมื่อเราพูดถึงการนมัสการ เราต้องพูดถึงการชำระล้างทำให้สะอาด ทำให้บริสุทธิ์ การสารภาพ และการสำนึกผิด เพราะว่าผู้ที่จะเข้าสู่การมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าองค์บริสุทธิ์นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ความบาปของเขาถูกจัดการให้หมดสิ้น เราไม่อาจเร่งรัดในการเข้าหาต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าด้วยความไม่บริสุทธิ์ โดยคิดว่าทุกสิ่งดีแล้ว
4.2 การนมัสการด้วยจิตวิญญาณ
พระเยซูตรัสว่าเราต้องนมัสการด้วยความจริง การนมัสการเป็นการตอบสนองที่มาจากความจริง ในสดุดี 145.18 กล่าวว่า “พระเจ้าทรงสถิตใกล้ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ด้วยใจจริง” เราต้องนมัสการโดยมาจากความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าการนมัสการที่แท้จริง เป็นการตอบสนองจากความรู้สึกทางจิตใจอย่างแน่แท้ต่อความจริงของพระเจ้า และพระวจนะของพระองค์ ความจริง เมื่อพระวจนะพระเจ้ามีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา การสรรเสริญของเราจะมีระเบียบ และการนมัสการของเราก็จะคล้อยตามมาตรฐานแห่งพระผู้เป็นเจ้า การนมัสการไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีที่ห่างจากความเข้าใจแห่งความจริง แต่การนมัสการเป็นการแสดงออกถึงการสรรเสริญที่ออกมาจากใจ ต่อพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่เข้าใจตามที่พระองค์ทรงเปิดเผย
ธรรมชาติของการนมัสการนั้นก็คือ การถวายพระเจ้าด้วยการนมัสการที่มาจากส่วนลึกภายในของเราด้วยการสรรเสริญ การอธิษฐาน ร้องเพลง การให้ และความเป็นอยู่ โดยตั้งอยู่บนความจริงที่พระองค์ทรงปรากฏ ผู้ที่นมัสการพระเจ้าต้องอุทิศตนอย่างสัตย์ซื่อต่อพระวจนะของพระองค์ การนมัสการไม่ใช่เกิดขึ้นโดยสิ่งที่ออกมาจากสวรรค์ แล้วทำให้เราล้มลง แต่เป็นการท่วมท้นของความเข้าใจของเราต่อพระเจ้า จากที่พระองค์ได้ทรงสำแดงพระองค์เองในพระคัมภีร์ นี่แหละเป็นการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”[6]
ฉะนั้นการนมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้องจะนำมาซึ่งการได้รับการอวยพรจากพระเจ้า ในหนังสือสารานุกรมพระคัมภีร์ ได้พูดถึงการอวยพรดังนี้
“การอวยพรคือ สิ่งที่พระเจ้าประทานให้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ ฝ่ายร่างกายหรือสิ่งของก็ดี พระคัมภีร์เรียกว่าพระพรทั้งสิ้น (ปฐก.9:1 ; ลนต.25:21 ; กดว.6:22-26)”[7]
ในหนังสือ บทเรียน การนำนมัสการ โดย ศจ.บุญชาย อิทธิเวชช์ ได้พูดถึงการนมัสการอย่างถูกต้องไว้ดังนี้
“การนมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้อง มีความสำคัญมากควบคู่ไปกับ การมีลักษณะชีวิตที่ถูกต้องต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อมนุษย์ เพราะพระเจ้าทรงแสวงหาคนเช่นนั้นเพื่อนมัสการพระองค์ ถ้าเราไม่เห็นความสำคัญในการแยกชีวิตออกจากความบาป หรือ แยกจากระบบของโลกนี้แล้ว เราจะนมัสการและถวายเกียรติแด่พระเจ้าไม่ได้ ฉะนั้น ลักษณะชีวิตที่ดีงาม จึงจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งในการนมัสการเพื่อให้พระเจ้าอวยพร จากพระธรรม สดุดีบทที่ 15 ได้ให้ลักษณะที่ดีของผู้นมัสการพระเจ้า ดังนี้ คือ
- มีชีวิตที่หาที่ติไม่ได้
- เป็นผู้ที่ปฏิบัติตนอย่างชอบธรรม
- เป็นผู้ที่พูดความจริงจากใจของตน
- สามารถควบคุมลิ้นของตนได้ดี
- ตีคุณค่าคนอย่างถูกต้อง
- ยึดมั่นในคำสัญญาของตน
- ไม่หาผลประโยชน์บนความทุกข์ของผู้อื่น
ชีวิตที่ดี 7 ประการ ข้างต้น ควรเป็นหลักจริยธรรมแห่งชีวิตของผู้ที่นมัสการพระเจ้าทุกคน
เพราะผู้ที่ปฏิบัติในสิ่งเหล่านี้ จะไม่หวั่นไหวเป็นนิตย์ ชีวิตแบบนี้แหละที่จะส่งผลไปสู่การนมัสการอย่างถูกต้องต่อพระพักตร์พระเจ้า อันเป็นการถวายเกียรติแด่พระองค์
พระธรรมตอนนี้ถือว่าเป็นพระสัญญาของพระเจ้า ให้ผู้เชื่อแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อนแล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ แผ่นดินในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผืนดินตามตัวอักษร แต่เป็นการแสวงหาพระเจ้า ยอมอยู่ภายใต้การปกคลุมของพระเจ้า ในหนังสือสารานุกรม ของ ดอน เฟลมมิ่ง ได้พูดถึงแผ่นดินของพระเจ้าดังนี้
“แผ่นดินของพระเจ้า คือ การปกครองของพระองค์ มิได้หมายถึงเขตดินแดนหรือประชาชนตามที่เราเข้า
ใจกันโดยทั่วไป เช่น เมื่อกล่าวถึงแผ่นดินยูดาห์ หรือแผ่นดินไทยในปัจจุบัน แต่แผ่นดินพระเจ้าหมายถึง
อำนาจปกครองของพระเจ้า ผู้ที่เป็นผู้ครอบครอง”[8]
เมื่อเราแสวงหาแผ่นดินคือการปกคลุมของพระเจ้าหรือแสวงหาพระเจ้าก่อนพระองค์ก็จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ก็คือ สิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ
จากพระธรรมเอเสเคียลนี้ (ใช้หลักการตีความหมายเข้าช่วย) ถ้าดูบริบท ก่อน และหลังแล้ว จะเป็นการที่พระเจ้าเสาะแสวงหาแกะที่หลงหาย ซึ่งมีสาเหตุมาจาก ผู้เลี้ยงแกะเองที่ไม่เอาใจใส่ เอาแต่เลี้ยงดูตนเอง เมื่อแกะอ่อนเพลียก็ไม่เสริมกำลัง แกะที่บาดเจ็บก็ไม่รักษา ตัวที่กระดูกหักก็ไม่พันแผลให้ ตัวที่หลงหายก็ไม่เสาะหาไม่ได้ตามกลับมา และได้ปกครองด้วยบังคับและข่มขี่เบียดเบียน แต่พระเจ้าจะทรงเสาะหาและสิ่งที่พระเจ้าจะทำก็คือ
- พ้นจากสถานที่ทั้งหลายซึงกระจัดกระจายไปอยู่เมื่อวันมีเมฆและมีความมืดทึบ (อสค.34.12)
- จะเลี้ยงแกะในลานหญ้าอย่างดีและลานหญ้าของเขาจะอยู่บนบรรดาภูเขาสูงของอิสราเอล ณ ที่นั่นเขาจะนอนลงในลานหญ้าอย่างดี และเขาจะหากินอยู่บนลานหญ้าอุดมบนภูเขาแห่งอิสราเอล (อสค.34.14)
- จะพันแผลให้แกะที่กระดูกหักและจะเสริมกำลังแกะที่อ่อนเพลีย
- จะช่วยให้รอด เขาจะไม่เป็นเหยื่ออีกต่อไป (อสค.34.22)
- จะทรงทำให้เขากับสถานที่รอบๆเนินเขาของพระองค์เป็นแหล่งพระพร เราจะส่งฝนลงมาในฤดูกาล เป็นห่าฝนแห่งพระพร ต้นไม้ที่ในทุ่งจะบังเกิดผล และพิภพจะบังเกิดผลประโยชน์ และเขาจะอยู่อย่างปลอดภัยในแผ่นดินของเขา (อสค.34.26-27)
สรุปจากพระธรรมตอนนี้สิ่งที่พระเจ้าอวยพรเมื่อเรานมัสการที่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะทรงช่วยเราให้พ้นจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่เข้ามาในชีวิต จะทรงอวยพรไม่ให้เราขัดสนในสิ่งที่จำเป็นสำหรับเรา จะทรงให้ได้รับความรอดไม่ตกเป็นเหยื่อของมารซาตานหรือสิ่งที่ไม่ดี ชีวิตของเขาจะอยู่อย่างปลอดภัยได้รับการปกป้องคุ้มครองจากพระเจ้า
บทสรุป
เมื่อเรานมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้องและเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เราก็จะได้รับการอวยพร ถ้าเราต้องการได้รับการอวยจากพระเจ้า เราต้องระวังที่จะต้องไม่ทำในสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย นั่นคือ การมีความเย่อหยิ่ง การเอาแต่ใจตัวเอง นมัสการตามธรรมเนียมปฏิบัติไม่ได้ออกมาจากใจ มีนิสัยชอบตัดสินคนอื่น ชอบวิพากษ์วิจารณ์ การไม่รู้การไม่รู้เราสามารถแก้ไขได้โดยแสวงหาความรู้ความเข้าใจ วิญญาณศาสนา การไม่ให้อภัยผู้อื่น ชอบบ่นว่า ชอบนินทา
แต่เมื่อเรานมัสการนั้นเราต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง โดยที่เราต้องยอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความนึกคิดในจิตใจของเรามุ่งตรงอยู่ที่พระเจ้า ที่สำคัญต้องมีความสำนึกในความผิดบาป เราต้องถวายพระเจ้าด้วยการนมัสการที่มาจากส่วนลึกภายในของเราด้วยการสรรเสริญ การอธิษฐาน การร้องเพลง การให้ และความเป็นอยู่ ต้องอุทิศตนอย่างสัตย์ซื่อต่อพระวจนะของพระเจ้า ให้ชีวิตจิตวิญญาณของเราในทุกส่วนถวายเกียรติแด่พระองค์ด้วยหัวใจและการกระทำทั้งสิ้นของเรา.
**************************************
[1] เฟรมมิ่ง. ดอน , สารานุกรมพระคริสตธรรมคัมภีร์ , พิมพ์ครั้งที่ 4 , (กรุงเทพฯ: สถาบันคริสเตียนศึกษาและพัฒนาคริสตจักร,2011) , หน้า
[2] เรื่องเดียวกัน, หน้า
[3] บุญชาย อิทธิเวชช์ , บทเรียน การนำนมัสการ, หน้า 4.
[4] ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์, ชีวิตสาวก รากฐานชีวิตคริสเตียนและ อุปนิสัยคริสเตียน, พิมพ์ครั้งที่ 9(กรุงเทพฯ:พิมพ์ดีการพิมพ์,2009), หน้า 30-31.
[5] ฮินน์, แซม , จุมพิตพระพักตร์ แปลจาก Kissing the Face of God โดย ตรูจิตต์ นีเดอเรอร์ , พิมพ์ครั้งที่ 3,(กรุงเทพฯ:แม่น้ำ,2010), หน้า 46-67.
[6] จูเนียร์, จอห์น แม็คอาเธอร์, นมัสการเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแปลจาก The Ultimate Priority on Worship โดย รุ่งนภา สิริมนตราภรณ์, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: สถาบันพระคริสตธรรมศึกษาและการพัฒนาคริสตจักร,1988),หน้า 133-139.
[7] เรื่องเดียวกัน, หน้า
[8] เฟรมมิ่ง. ดอน , สารานุกรมพระคริสตธรรมคัมภีร์, หน้า
ไม่มีความเห็น