เปลี่ยนอาชีพซะดีมั๊ย? ชลัญธร


วันนี้ข้าพเจ้า ต้อง conference  case กับนักศึกษาพยาบาลเฉพาะทางเวชปฏิบัติทั่วไป  ( การรักษาโรคเบื้องต้น ) รู้สึกอึดอัดใจอย่างแรง  นักศึกษา ไม่สามารถเชื่อมโยงกระบวนการคิด ได้  ไม่ใช่ไม่รู้ ความรู้น่ะมีทุกอย่าง ที่ควรจะรู้  แต่ไม่สามารถประมวลความรู้มาเป็นเหตุเป็นผลกันได้  ทำให้ พบ.อย่างข้าพเจ้า ที่มัก อารมณ์ ดี ลั่นล้า นั้น เริ่มเคือง  ถึงขั้นพูดออกไปว่า

  “แจกซองขาวซะดีมั๊ยนี่”  ( หมายถึง ไม่ให้ผ่านในวิชานี้ นั่นคือนักศึกษาไม่จบนั่นเอง )

  นักศึกษาถึงกับสะดุ้ง  รีบช่วยกันตอบพัลวัน

  ใช่  ข้าพเจ้าซีเรียส  เพราะการเรียนวิชาแพทย์พยาบาลนี่หมายถึง ชีวิตคนเราต้องใส่ใจในรายละเอียด  ที่มันบ่งบอกว่า นี่มันเป็นเหตุที่คุกคามชีวิต แล้วนะ  เมื่อ ซักประวัติไม่ครอบคลุม  หาปัญหาไม่พบ  ตรวจร่างกายไม่เป็น  จบกัน  ...... มันไม่ใช่การ บวกลบเลข ทำบัญชีค้าขาย ทำผิดก็ขาดทุน  ไม่มีกำไร ไม่อันตรายถึงชีวิต 

  แต่ไม่ได้โทษนักศึกษาหรอกนะ  โทษระบบที่ปลูกฝังมาต่างหาก  ซึ่งมีความเห็นพ้องต้องกันกับ แพทย์ ที่เข้าร่วม conference ว่า  การเรียนพยาบาลนี่ ไม่ส่งเสริมกระบวนการคิด วิเคราะห์  กระบวนการเชื่อมโยง  แต่จะเน้นการทำตามขั้นตอน มากกว่า  เคยชินกับการรับ order จากแพทย์  พอมีอะไรก็ได้แต่ รอถามแพทย์ ๆ ๆ ๆ โดยขาดการคิดวิเคราะห์เชื่อมโยงการเป็นเหตุเป็นผลกัน  จริงๆ หากเราเข้าใจกระบวนการนี้  มันแทบไม่ต้องอ่านหนังสือท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองมาเลย ก็ว่าได้  เราจะรู้ได้ทันทีว่า เพราะเหตุนี้ นาปัญหามันจึงมาเกิดตรงนี้  คล้ายๆ กับหลักการทางพุทธศาสนา  ใน  ปฏิจจสมุปบาท  ยิ่งพอยกตัวอย่างเรื่องนี้  ยิ่งอึ้งหนัก เพราะ ไม่เคยอ่านธรรมะ จึงไม่รู้จัก ปฏิจจสมุปบาท  กรรมชลัญธร??????

  สุดท้ายต้องมาไล่เรียงกระบวนการคิดให้ใหม่  ไม่รู้เหมือนกันว่าได้แค่ไหน เฮ้ย ……….( แค่ถอนหายใจเบาๆ  ไม่ถึงขั้นหน้าดำหน้าแดง หรอกนะ .99 )

  ตั้งแต่ตุลาคม ที่ผ่านมาชลัญต้องรับนักศึกษา ไม่ขาดสายเลย  รุ่นหนึ่งๆ มาอยู่เป็นเดือน  บางครั้งซ้อนใน 3 สถาบัน  เรียกว่า ต้องแยกสมองให้ดี ๆ  ว่า นี่ นศ.หลักสูตรอะไร  นี่มียาวไปจนถึง เม.ย.  เว้นวรรคหน่อยช่วงปิดเทอม  แล้วก็มีต่อ 

  แต่ชอบนะเวลานักศึกษามาฝึกปฏิบัติงานนี่มันทำให้เรา ต้อง เรียนรู้อยู่ตลอด เพื่อจะได้ถ่ายทอดความรู้ให้ นศ.ต่อ เพราะเคยเก็บกด สมัยเป็น นศ.พบ.นั้น  พี่พยาบาล ดุโคตร ๆ  จะกินหัว นศ.ให้ได้  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องดุ  แต่ที่มารู้คำตอบ หลังๆ นี่  พี่ที่ดุน่ะมีอยู่ประมาณ 2 ประเภท  คือ

1 ดุเพราะไม่อยากให้ นศ. เข้าใกล้  เพราะ ในหัวข้าไม่มีอะไร  หาเข้าใกล้มาก ถามมากข้าตอบไม่ได้โว้ย

2. ดุเพราะ  มีมานะ  หรืออัตตา  ว่าข้าใหญ่เป็นพี่  นศ.เป็นน้อง พี่เคยได้เกียรตินิยม  จึงต้องเบ่งให้เห็นว่าข้านี่เก่ง ว่ะ ประมาณนี้

แต่สำหรับพี่เลี้ยงอย่างข้าพเจ้านั่น ไม่เคยดุ นศ. (เพราะแค่เห็นหน้า  นศ.ก็กลัว  ไม่ต้องถึงกับดุ 555)

ข้าพเจ้าอยากให้ นศ. รู้ ได้พอๆกับที่ข้าพเจ้ารู้ จึงพยายามทุ่มเทกับการสอนนักศึกษา  อย่างรุ่นนี้ สอนเรื่อง  CHF ( หัวใจล้มเหลว )  ถาม นศ.ว่า  ทำไม CHF คนไข้ถึง มีหายใจหอบ ฟังปอดได้ crepitation นศ. ตอบวกไปวนมา  แบบมีแต่น้ำจะท่วมปอดอยู่แล้ว  พออธิบาย นศ.บอก โห! พี่เรียนมา 4 ปี  กับ อีก 4 เดือนที่มาเรียนเพิ่มนี่ เพิ่งเข้าใจถึงกึ๋น วันนี้แหล่ะมันหลับตาแล้วเห็นภาพ  ไม่ต้องอ่านหนังสือเลย รู้เลยว่าจะให้การพยาบาลยังไง  นศ.ถามว่า

“ทำไมพี่ไม่เปลี่ยนอาชีพ ไปเป็นครูพยาบาล”

อืมมม์.....ให้ได้คิด น่าสนใจนะนี่  แต่ไม่ดีกว่า  เป็นพยาบาล อยู่ทุกวันนี้ ก็มีนักเรียนมาเรียนด้วย  ถือว่าเป็นทั้งพยาบาล ทั้งครู ได้กำไรนะนี่  ตั้ง 2 อาชีพ  แต่ขาดทุนตรงที่ เป็นพบ.ได้ตังค์ แต่เป็นครูทุกวันนี้ฟรีตลอด แถมเสียตังค์ควักเงิน ในกระเป๋าเลี้ยงข้าว นศ.อีก  เฮ้ย ............ ( ถอนหายใจครั้งนี้ใหญ่ หน่อยนะ .99 ) 5555

ชลัญธร
หมายเลขบันทึก: 518892เขียนเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2013 03:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2013 03:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

"พยามาร" นั้นเหมาะสมสุด ;)...

ป.ล. เม้นท์สั้น ๆ ไปก่อนแล้วจะย้อนมาอีกรอบจ้า

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท